Fast Fashion กับ Sustainability จะไปด้วยกันได้อย่างไร เมื่อการตลาดมีบทบาทสำคัญต่อการเลือกบริโภค | Techsauce

Fast Fashion กับ Sustainability จะไปด้วยกันได้อย่างไร เมื่อการตลาดมีบทบาทสำคัญต่อการเลือกบริโภค

เชื่อว่าทั้งหลายคนที่ต้องอยู่บ้านติดต่อกันหลายเดือนก็คงรู้สึกทั้งเบื่อ เครียด และเซ็งไม่ใช่น้อย พอความเบื่อหน่ายสะสมก่อตัว ทางออกของใคร หลาย ๆ คนก็คงหนีไม่พ้น “การช้อปปิ้งออนไลน์” แค่เพียงจิ้มของใส่ตะกร้า ชำระเงินและรอของมาส่ง ก็เหมือนเป็นกิจกรรมอัดฉีดความสุขได้อย่างไม่รู้ตัว และหมวด “ของมันต้องมี” สำหรับคนเหล่านี้มักจะเป็น เสื้อผ้า น่าแปลกใจที่ว่าต่อให้เราไม่ได้ไปข้างนอก การเห็นโฆษณาขายเสื้อผ้าลดราคาทางโซเชียลมีเดียก็ทำให้อดใจไม่ได้ที่จะกด CF สักตัวสองตัวเสมอ

แม้ว่าการซื้อเสื้อผ้าจะกลายเป็นงานอดิเรก ช่วยให้เราผ่อนคลายและรู้สึกมั่นใจท่ามกลางความตึงเครียดของโควิด-19 ได้ดี แต่รู้หรือไม่ว่า...กระแสการบริโภคนี้เองกลับบ่มเพาะให้เกิดแฟชั่นที่เรียกว่า “Fast Fashion” ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นตัวการสำคัญในการทำลายสิ่งแวดล้อมระดับต้น ๆ ของโลก และมีผลต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์อย่างมหาศาล

ในบทความนี้ Techsauce จะพามาทำความเข้าใจว่าเหตุใด คนถึงรักและนิยมใน Fast Fashion ทั้งที่ส่งผลร้ายต่อสิ่งแวดล้อม แล้วเราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไรบ้าง โดยที่เรายังสนุกกับการแต่งตัวได้เหมือนเดิม

Fast Fashion คือ

เมื่อกระบวนการผลิตเสื้อผ้า 1 ชิ้น ใช้ทรัพยากรมากกว่าที่เห็น

Fast Fashion คือ กระบวนการผลิตเสื้อผ้าที่เน้นความรวดเร็วฉับไว โดยใช้ต้นทุนต่ำทั้งในส่วนของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตและแรงงาน เพื่อที่ให้เสื้อผ้านั้นมีราคาถูก เข้าถึงง่าย และไม่ว่าใครก็มีเสื้อผ้าสวย ๆ สวมใส่ได้ในทุกโอกาส แต่กระนั้นเอง ตลอดทุกขั้นตอนการผลิตได้ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมเป็นวงกว้าง

ในแง่ของการใช้ทรัพยากร อุตสาหกรรม Fast Fashion เป็นหนึ่งใน 10 อุตสาหกรรมที่ใช้น้ำในกระบวนการผลิตและทำความสะอาดสินค้ามากที่สุดในโลก เนื่องจากเสื้อผ้านั้นทำมาจากเส้นใยฝ้ายเป็นหลัก และกว่าจะผลิตใยฝ้ายออกมาได้ 1 กิโลกรัมนั้น ต้องใช้น้ำถึง 10,000 ลิตร หรือประมาณ 3,000 ลิตรต่อเสื้อผ้า 1 ตัวเลยทีเดียว เช่นเดียวกันนี้ สีที่ใช้ย้อมเสื้อผ้าส่วนใหญ่แล้วยังคงสังเคราะห์ขึ้นมาจากสารเคมีซึ่งทำให้เกิดน้ำเสียคิดเป็นสัดส่วนถึง 20% เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ  และสร้างมลพิษในแหล่งน้ำขนาดใหญ่อย่างมหาสมุทรมาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ธุรกิจบางส่วนยังเสาะหาวัตถุดิบที่ต้นทุนถูกกว่าเดิมมาผลิตเอากำไร จึงทำให้เสื้อผ้าในปัจจุบันไม่ได้มีเพียงแต่เส้นใยฝ้ายเท่านั้น ยังผสมพลาสติกสังเคราะห์ขนาดเล็ก ที่เรียกว่า “ไมโครไฟเบอร์” ออกมาเป็นชนิดเสื้อผ้าอีกรูปแบบหนึ่งนั่นก็คือ โพลีเอสเตอร์ โดยกระบวนการผลิตเสื้อผ้าชนิดนี้ยังปล่อยก๊าซเรือนกระจก 3.3 พันล้านตันต่อปี หรือ 8% และปริมาณขยะที่ได้จากเสื้อผ้าเหล่านี้ในแต่ละปีนั้นเปรียบได้เหมือนกับขวดพลาสติกจำนวน 50,000 ล้านขวด ซึ่งพลาสติกขนาดเล็กไม่สามารถย่อยสลายในน้ำได้ และแทรกซึมไปในห่วงโซ่อาหารของสัตว์ทะเลไปโดยปริยาย

แล้วเมื่อเสื้อผ้าไม่สามารถย่อยสลายได้ ทางเลือกเดียวที่จะกำจัดขยะที่เกิดจากเสื้อผ้าคือการฝังกลบดิน (landfill)  ซึ่งทิ้งสารตกค้างจำนวนมากไว้ในดิน ส่งผลให้ดินเสียหายและเสื่อมคุณภาพได้

ต้นทุนเสื้อผ้าราคาถูก แลกมาด้วยต้นทุนแรงงานราคาต่ำ

ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมเสื้อผ้า Fast Fashion ก็ทำให้เกิดปัญหาสิทธิมนุษยชนระดับโลก แม้ว่าการผลิตเสื้อผ้าได้เติมเต็มตลาดแรงงานให้คนได้ลืมตาอ้าปาก แต่ก็มีรายงานจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่า แรงงานที่เกี่ยวข้องกับโรงงานผลิตเสื้อผ้า Fast Fashion ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ปัญหาการกดขี่แรงงานเช่นนี้ได้ปรากฏออกมาในค่าแรงต่ำกว่ามาตรฐานอย่างมาก และลักษณะงาน ความเป็นอยู่ที่ไม่เอื้อต่อชีวิตแรงงาน

ยกตัวอย่างเช่นประเทศบังคลาเทศ แม้ว่าอุตสาหกรรมสิ่งทอจะสร้างกำไรให้กับประเทศเกือบ 83% เมื่อเทียบกับอัตราส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และมีโรงงานผลิตประจำอยู่เกินกว่า 4,500 แห่ง อย่างไรก็ดี แรงงานชาวบังคลาเทศกลับได้ค่าจ้างที่ต่ำกว่ารายได้ขั้นต่ำตามที่รัฐบาลกำหนด โดยค่าจ้างรายเดือนอยู่ที่ประมาณ 75 ดอลลาร์ต่อเดือน หรือประมาณ 2,500 บาทต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพขั้นพื้นฐาน 

และไม่กี่ปีที่ผ่านมา แบรนด์ Fast Fashion รายใหญ่ระดับโลก กว่า 83 แบรนด์ อาทิ Zara Nike Gap และ Adidas ยังถูกกล่าวหามีส่วนในการบังคับใช้แรงงานชาติพันธุ์อุยกูร์ทางมณฑลซินเจียงของประเทศจีนในการผลิตสิ่งทอ ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการโอนย้ายแรงงานที่รัฐบาลจีนสนับสนุน  การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งใหญ่ เพราะชาวอุยกูร์ถูกบังคับขู่เข็ญให้ทำงานโดยปราศจากการยินยอม และชาวอุยกูร์จำนวนมากได้รับบาดเจ็บและมีสภาพความเป็นอยู่อย่างยากลำบากระหว่างการทำงาน แม้ว่าแบรนด์ส่วนใหญ่ออกมาให้ปฏิเสธแล้ว แต่ก็มีแบรนด์บางส่วนยอมรับว่าได้ปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์อย่างไม่เป็นธรรม 

ฉากหน้าที่ทำให้  Fast Fashion ยังคงมีดีมานด์สูง

 ทำไม Fast Fashion

จนมาถึงตอนนี้ เราต่างก็ทราบกันดีและตระหนักว่า กระแส Fast Fashion นั้นส่งผลเสียอย่างมหาศาลต่อธรรมชาติและสิ่งมีชีวิต แต่อดปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์เสื้อผ้าดังกล่าวยังคงวนเวียนอยู่ในโลกออนไลน์จนชินตา เหตุใดคนทั่วโลกยังคงนิยมและยอมรับแบรนด์ Fast Fashion ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ “ราคาที่เข้าถึงได้”  

สังคมเล่าขานกันมาอย่างยาวนานว่า การแต่งกายสามารถบ่งบอกอุปนิสัยผู้แต่ง วัฒนธรรม สถานะทางสังคมได้ เสื้อผ้าจึงไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่ใช้สวมใส่เพื่อป้องกันการเผยผิวหนัง หรือเพื่อความสบายคล่องตัวเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่ยกระดับบุคลิกภาพ และสถานะ ต่อให้ไม่ว่าเราจะมีฐานะทางเศรษฐกิจ หรือรูปร่างหน้าตาแบบใด การสวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน ปราณีต หรือว่าตามกระแสหลัก ก็ช่วยให้เราได้รับการยอมรับจากสังคม ทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกมั่นใจในตนเอง และใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น

เมื่อย้อนกลับไปในอดีต เสื้อผ้าที่ผู้คนต่างมองว่าทันสมัย และตัดเย็บดี ต่างออกแบบและจัดจำหน่ายมาในราคาสูง จึงทำให้คนที่มีกำลังซื้อส่วนใหญ่จะเป็นคนชนชั้นสูงและฐานะร่ำรวยมากกว่า ด้วยเหตุนี้การมาของ Fast Fashion ได้สั่นสะเทือนวงการแฟชั่นดั้งเดิม ด้วยแนวคิดที่ว่าทำอย่างไรให้คนสามารถสวมใส่เสื้อผ้าที่บ่งบอกถึงความหรูหราในราคาที่จับต้องได้ คนส่วนใหญ่ของสังคมจึงเข้าถึงการใส่เสื้อผ้าหลากหลายสไตล์ มีอิสระ สนุกสนานไปกับการแต่งตัว ต้องมนตร์เสน่ห์ของ Fast Fashion ที่ไม่ว่าซื้อไปกี่ชุด ก็ไม่ต้องเสียเงินมากเหมือนแต่ก่อนแล้ว 

ยิ่งไปกว่านั้น แบรนด์ส่วนใหญ่ที่ผลิตเสื้อผ้าแบบ Fast Fashion เน้นย้ำการตลาดด้วยการวางจำหน่ายคอลเลคชันใหม่ทุก ๆ สัปดาห์ หรือ 52 รอบต่อปี ซึ่งแตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่อุตสาหกรรมแฟชั่นดั้งเดิมจะออกเสื้อผ้าอย่างมากที่สุด 2 รอบต่อปีเท่านั้น นั่นก็คือรอบ Spring/Summer และ Fall/Winter

แนวคิดการผลิตอย่างรวดเร็วเช่นนี้จึงเล่นกับจิตใจของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน และเปลี่ยนความหมายของเสื้อผ้าจากสิ่งจำเป็น กลายเป็น “ของมันต้องมี” ปลูกฝังความคิดให้เราตื่นเต้นและอยากได้ของใหม่ตลอดเวลา มิฉะนั้นเราอาจพลาดเทรนด์จนรู้สึกผิดและเสียดาย (Fear of Missing Out: FOMO) 

แบรนด์ Fast Fashion กับแนวคิด Sustainability

sustainable fashion

ในช่วงปี 2019 จนถึงช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ได้ทำให้พฤติกรรมการแต่งกายของผู้บริโภคส่วนใหญ่เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เนื่องจากคนได้เห็นผลกระทบจากการบริโภคของ Fast Fashion เป็นรูปเป็นร่างมากกว่าเดิม เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศแบบฉับพลัน ภาวะโลกร้อน มลพิษ และภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในทุก ๆ ปี ทั้งหมดนี้จึงมีส่วนให้คนเริ่มเปลี่ยนวิถีการบริโภค มาเป็นค่านิยมแต่งกายตามแฟชั่นอย่างยั่งยืน สวมใส่เสื้อผ้าจากกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งแรงงานต้องได้รับค่าแรงและการปฏิบัติอย่างยุติธรรม จึงทำให้แบรนด์ Fast Fashion ยักษ์ใหญ่หลายราย ต้องออกมาปรับโมเดลธุรกิจ และแสดงจุดยืนด้านความยั่งยืนออกมาให้ทั่วโลกเห็นว่าตนรักษ์โลก และรับผิดชอบต่อสังคม

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือแบรนด์ H&M ที่ออกมาเคลื่อนไหวทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและแรงงาน โดยเป็นแบรนด์แรก ๆ ที่เปลี่ยนโมเดลการผลิตเสื้อผ้าจากเน้นความรวดเร็วอย่าง Fast Fashion มาปรับใช้โมเดล Circular Fashion System หรือระบบแฟชั่นแบบหมุนเวียน เริ่มต้นจากการเปลี่ยนวัตถุดิบที่สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ อีกทั้งออกแบบเสื้อผ้าโดยคิดถึงอายุการใช้งานยาวนานเป็นปัจจัยหลัก ก่อนที่จะมาปรับปรุงกระบวนการผลิตโดยลดการใช้สารเคมีและน้ำเป็นลำดับถัดไป นอกจากนี้ H&M ยังใช้แผนการรีไซเคิล ลดขยะจากเสื้อผ้า โดยส่งเสริมให้ลูกค้านำเสื้อผ้ามารีไซเคิลเพื่อแลกกับข้อเสนอบัตรกำนัลมูลค่า 5 ยูโร โดย Giorgina Waltier ผู้จัดการด้านความยั่งยืนของ H&M ได้กล่าวว่าแบรนด์มีเป้าหมายจะใช้เฉพาะวัสดุที่มาจากแหล่งที่ยั่งยืน 100% ภายในปี 2030 และมีความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมาย Climate Positive ภายในปี 2040 หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นลบ ช่วยสกัดไม่ให้ก๊าซเรือนกระจกออกจากบรรยากาศ

ในฝั่งของทรัพยากรมนุษย์ H&M ก็ได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนต่อการใช้แรงงานอุยกูร์ในการผลิตฝ้ายสำหรับเครื่องแต่งกาย ซึ่งในช่วงต้นปี 2021 H&M ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้ใช้แรงงานอุยกูร์ในการผลิตฝ้ายอีก และเป็นหนึ่งในแบรนด์ Fast Fashion ที่แสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ว่าแบนการใช้ฝ้ายของซินเจียง แม้ว่าในภายหลัง H&M จะนำป้ายไม่สนับสนุนฝ้ายซินเจียงออกจากเว็บไซต์ตน แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ได้ส่งแรงสั่นสะเทือนต่อวงการแฟชั่น คนทั่วโลกตระหนักถึงความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับแรงงานท้องถิ่น และใส่ใจถึงต้นกำเนิดของการบริโภคของตนมากขึ้น 

อย่างไรก็ตามแม้ว่าความยั่งยืน จะกลายเป็นสิ่งที่ทุกอุตสาหกรรมทั่วโลกต้องให้ความสำคัญ แต่ความท้าทายในแง่ของผู้บริโภคนั้นยังเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเป็นสิ่งที่ตัดสินได้ว่า แบรนด์ต้องไปต่ออย่างไร ดังนั้น แบรนด์เอง แม้ว่าจะปรับที่กระบวนการผลิตแล้ว แต่ เรื่องของ การตลาด ที่จูงใจให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอย หรือเลือกซื้อสินค้าก็มีส่วนสำคัญไม่น้อย เพราะสิ่งนี้จะเป็นการสร้างความตระหนักรู้ และเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคให้ควบคู่ไปกับสิ่งที่แบรนด์ต้องการจะเป็นได้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม Fast Fashion ที่ในระยะหลังตั้งแต่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท Social Media Influencer ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางการทำการตลาดของแบรนด์ กลับมีส่วนสำคัญต่อการชักจูงผู้คนเช่นกัน

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ทำไม Fastwork ขาดทุนเกือบทุกปี ? ฟังเหตุผลของ CK Cheong

Fastwork เป็นอีกหนึ่งชื่อธุรกิจที่มาแรงในช่วงเวลานี้ ด้วยความไวรัลบนโลกออนไลน์ของผู้บริหาร CK Cheong (ซีเค เจิง) ที่มักทำคลิปให้ทัศนะเรื่องการเงิน การใช้ชีวิต และธุรกิจ แต่กลับถูกต...

Responsive image

Founder Model วิถีผู้นำแบบ Brian Chesky CEO เบื้องหลังความสำเร็จของ Airbnb

Founder Mode เป็นแนวทางการบริหารที่กำลังได้รับความสนใจในวงการสตาร์ทอัพ โดยแนวคิดนี้ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางจาก Brian Chesky, CEO ผู้พา Airbnb เติบโตจนกลายเป็นธุรกิจระดับโลก ด้...

Responsive image

ไขความลับ Growth Hacking: บทเรียนจาก Spotify สู่ธุรกิจยุคใหม่

ในโลกธุรกิจที่การแข่งขันดุเดือดและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเติบโตอย่างรวดเร็วและยั่งยืนคือสิ่งที่ทุกธุรกิจต่างใฝ่ฝัน Growth Hacking กลายเป็นกุญแจสำคัญที่ไขประตูสู่ความสำเร็จ ด้วย...