เมื่อพูดถึงเทคโนโลยี AI หลายคนอาจนึกถึงโมเดลภาษาขนาดใหญ่ในองค์กรยักษ์ใหญ่ หรือแพลตฟอร์มสำหรับธุรกิจในโลกตะวันตก แต่ในวันนี้ AI กำลังกลายเป็นตัวแปรสำคัญในพื้นที่ที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง นั่นคือ "ไร่นา" ของเกษตรกรรายย่อยในทวีปแอฟริกา ที่ซึ่งเทคโนโลยีกำลังถูกนำมาใช้แก้ปัญหาปากท้อง ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
Edemanwan Eyo Bassey เกษตรกรมือใหม่ในพื้นที่ห่างไกลทางตอนใต้ของประเทศไนจีเรีย เธอสังเกตเห็นความผิดปกติของไก่ในฟาร์มที่เริ่มเคลื่อนไหวเชื่องช้า "เหมือนกำลังจะเป็นอัมพาต" แต่ด้วยข้อจำกัดในการเข้าถึงเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญภาครัฐ เธอจึงหันไปพึ่งเทคโนโลยี
เธอพิมพ์คำถามที่ตรงไปตรงมาไปยัง Farmer.chat แชตบอตที่พัฒนาโดย Digital Green องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรจากซานฟรานซิสโก "ทำไมไก่ของฉันถึงเดินแปลกๆ?"
AI วิเคราะห์อาการและวินิจฉัยว่าอาจเป็น "โรคนิวคาสเซิล" (Newcastle disease) ซึ่งเป็นการติดเชื้อไวรัสที่รุนแรงในสัตว์ปีก และยังแนะนำให้ใช้วัคซีน LaSota เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ผลลัพธ์คือเธอสามารถรักษาไก่และลดอัตราการตายในฟาร์มลงได้สำเร็จ นี่คือตัวอย่างเล็กๆ ที่สะท้อนภาพใหญ่ว่า AI กำลังกลายเป็น "เพื่อนคู่คิด" ที่จำเป็นสำหรับเกษตรกรในยุคที่สภาพอากาศแปรปรวนและความช่วยเหลือจากภาครัฐมีจำกัด
การเคลื่อนไหวนี้ไม่ได้มีแค่แอปพลิเคชันเดียว แต่เป็น Ecosystem ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้เล่นหลักที่น่าจับตา ได้แก่
Catherine Nakalembe นักวิทยาศาสตร์ภูมิสารสนเทศ (Geospatial Scientist) จาก NASA และ University of Maryland ชี้ว่าหัวใจของเทคโนโลยีนี้คือการผสานชุดข้อมูลมหาศาล (Big Data) ทั้งปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ และสภาพพืชพรรณ เพื่อสร้างโมเดลคาดการณ์และให้คำแนะนำที่แม่นยำ
แต่ความท้าทายคือ "บริบทท้องถิ่น" Catherine Nakalembe ย้ำว่าหาก AI ขาดความเข้าใจในพื้นที่ อาจเกิดความผิดพลาดร้ายแรง เช่น การวินิจฉัยไร่โกโก้ว่าเป็นป่า หรือมองนาข้าวเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ดังนั้นการ ร่วมพัฒนา (Co-develop) กับเกษตรกรและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจึงเป็นกุญแจสำคัญ เพราะเทคโนโลยีควรจะช่วยให้พวกเขาทำงานได้ดีขึ้น ไม่ใช่มาแทนที่ ความสำเร็จที่พิสูจน์แนวทางนี้คือแอปพลิเคชัน eLocust3 จาก PlantVillage ที่ใช้ข้อมูล GPS และภาพถ่ายจากเกษตรกรเพื่อคาดการณ์การเคลื่อนที่ของฝูงตั๊กแตนในช่วงระบาดใหญ่ปี 2020-2021 ซึ่งช่วยปกป้องพืชผลมูลค่ามหาศาลถึง 1.7 พันล้านดอลลาร์ และรักษาชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรนับสิบล้านคน
AI ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในฟาร์มเดียว แต่กำลังสร้าง Network Effect ที่ขยายผลเป็นวงกว้าง:
แม้จะมีศักยภาพสูง แต่เส้นทางนี้ก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ความท้าทายสำคัญคือ "แหล่งทุน" โดยเฉพาะหลังจากการระงับความช่วยเหลือจากต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ซึ่งกระทบโดยตรงต่อโครงการที่ USAID เคยให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนด้วยเงินทุนถึง 39 ล้านดอลลาร์ ทำให้เครือข่ายบางส่วนต้องยกเลิกไป ตามคำกล่าวของ Annalyse McCloskey จาก PlantVillage ซึ่งตอนนี้กำลังมองหาแหล่งทุนใหม่ นอกจากนี้ยังมีประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมจากการใช้ทรัพยากรของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ต้องจับตามอง
Alloysius Attah ซึ่งเป็น CEO และผู้ก่อตั้ง Farmerline เชื่อว่า AI คือเครื่องมือที่จะ "ปลดล็อกศักยภาพ" ของทวีปแอฟริกา ซึ่งมีประชากรอายุน้อยที่สุดในโลกและมีที่ดินทำกินที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ถึง 60% ของโลก AI และแพลตฟอร์มทางการเงินกำลังทำให้ภาคเกษตรกรรมที่เคย "มีความเสี่ยงสูง" ในสายตานักลงทุน กลายเป็นธุรกิจที่โปร่งใสและคาดการณ์ได้มากขึ้น ช่วยให้เกษตรกร สามารถเข้าถึงสินเชื่อเพื่อซื้อระบบชลประทานล่วงหน้า และเตรียมพร้อมสำหรับตลาดโลก
Source: www.fastcompany.com
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด