กรณีศึกษา: ความท้าทายและแนวทางการวัด Carbon Footprint ขององค์กรธุรกิจ | Techsauce

กรณีศึกษา: ความท้าทายและแนวทางการวัด Carbon Footprint ขององค์กรธุรกิจ

บริษัทต่างๆทั่วโลก ต้องเผชิญกับความท้าทายในการวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas :GHG) ซึ่งการวัดผลดังกล่าวมักจะเป็นก้าวแรกสู่การลดและชดเชยคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับองค์กร และบริษัทจำนวนมากที่ติด 500 อันดับบริษัทใหญ่ของ Fortune มีความมุ่งมั่นที่จะลดก๊าซเรือนกระจกในเชิงรุก

ยกตัวอย่างเช่น Apple จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Carbon Neutral) ใน Product Line และ Supply Chain ภายในปี 2030  Amazon จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในทุกการดำเนินงานภายในปี 2040 และ Microsoft จะชดเชยคาร์บอนเครดิตจากการดำเนินงานที่ผ่านมา (ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทจนถึงปัจจุบัน) ภายในปี 2050

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าไม่ใช่ทุกบริษัทที่จะมีทรัพยากรเพียงพอที่จะปฏิบัติตามเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ แต่บริษัทส่วนใหญ่สามารถวัดและประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกพร้อมเริ่มดำเนินการเพื่อลดการปล่อยมลพิษได้ทันที ไม่เช่นนั้น หากไม่เริ่มดำเนินการ จะทำให้บริษัทต้องแบกรับความเสี่ยงด้านการเงิน ด้านตลาด และความเสี่ยงในทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นได้ 

ในบทความนี้เราได้หยิบยกกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ในการคำนวนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยจะกล่าวถึงแนวทางที่ใช้ในการวิเคราะห์ และความท้าทายที่เกิดขึ้นกับธุรกิจ 

แนวทางในการวิเคราะห์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก

การกำหนดขอบเขตการปล่อยมลพิษ ตามมาตรฐาน Greenhouse Gas Protocol ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำหนดมาตรฐานการรายงานการปล่อยมลพิษสำหรับรัฐบาล สมาคมอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ โดยบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 ส่วนใหญ่จะใช้โปรโตคอลในการรายงาน ซึ่งได้มีการกำหนดขอบเขตการปล่อยมลพิษไว้ 3 ขอบเขต ดังนี้

ขอบเขตที่ 1  คือ การคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงที่องค์กรใช้หรือเป็นเจ้าของ เช่น ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันเบนซินสำหรับรถยนต์ องค์กรขนาดใหญ่อาจรวมการฝังกลบในพื้นที่และเชื้อเพลิงสำหรับการบำบัดน้ำเสีย 

ขอบเขตที่ 2 คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากพลังงานความร้อน ไอน้ำ และไฟฟ้าที่องค์กรทำการซื้อมา 

ขอบเขตที่ 3 คือ ก๊าซเรือนกระจกที่ไม่ได้เกิดจากแหล่งที่องค์กรเป็นเจ้าของโดยตรงหรือซื้อมา แต่เกิดจากกิจกรรมขององค์กร ซึ่งเป็นขอบเขตที่คำนวณได้ยากและอาจต้องใช้เวลา

ต่อมาคือการเลือกปีฐาน (Base Year) เพื่อวิเคราะห์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งองค์กรส่วนใหญ่จะคำนวณโดยใช้ปีล่าสุด ซึ่งอาจเป็นปีปฏิทินหรือปีงบประมาณที่มีข้อมูลการดำเนินงานครบถ้วน ในการวิเคราะห์การปล่อยมลพิษในแต่ละภาคส่วนและประมาณการลดลงเฉลี่ยจากปีฐาน 

และสุดท้ายเมื่อบริษัทคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตาม GHG Protocol แล้วก็ต้องมาตัดสินใจว่าจะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะหรือไม่ หากเลือกเปิดเผยข้อมูลก็ต้องมาดูว่าจะทำในรูปแบบใดต่อไป

ความท้าทายการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 

จากเคสที่กล่าวถึงในบทความนี้ ซึ่งเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีการดำเนินงานกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ จะเกิดความท้าทายในการเก็บข้อมูลและประมวลผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งพบว่าแต่ละพื้นที่ดำเนินงานจะมีการเก็บเอกสารค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคในรูปแบบที่ต่างกันออกไป โดยมีทั้งในรูปแบบ Excel และ PDF รวมถึงค่าสาธารณูปโภคจะไม่แยกออกมา แต่รวมอยู่ในค่าเช่าจึงต้องมีการกำหนดพื้นที่อย่างชัดเจนและประเมินการใช้พลังงานโดยเฉลี่ยที่เกิดขึ้นต่อพื้นที่ รวมถึงความไม่สอดคล้องกันของข้อมูล ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นต้นทุนของบริษัท จึงควรมีการจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบและมีความสอดคล้องกันในแต่ละพื้นที่ดำเนินงาน

นอกจากนี้เคสความท้าทายของยานพาหนะ ที่นับวันยิ่งมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมากขึ้น โดยความท้าทายที่เกิดขึ้น คือการรายงานระยะทางที่มีไม่ครบตลอดทั้งปี บริษัทที่มียานพาหนะในครอบครองจำนวนมากจึงต้องมีการติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้สะดวกต่อการระบุปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างความน่าเชื่อถือ 

แต่สิ่งที่ง่ายกว่าสำหรับการคำนวณในส่วนของยานพาหนะ คือสามารถคำนวณได้จากน้ำมันเบนซินหรือดีเซล 1 แกลลอน ซึ่งมีระยะทางและมีอัตราการปล่อยไอเสียเท่ากันสำหรับรถยนต์หนึ่งคัน และในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้านั้นมีข้อได้เปรียบด้านสิ่งแวดล้อมเมื่อเทียบกับรถที่ใช้น้ำมัน ซึ่งการปล่อยมลพิษนั้นจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานที่ชาร์จ 

คำแนะนำสำหรับองค์กรธุรกิจ

สำหรับองค์กรที่พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการกับปัญหา Climate Change สามารถดำเนินการตามขึ้นตอน ดังต่อไปนี้:

  • กำหนดปีฐาน และประเมินการดำเนินการเพื่อลดการปล่อยมลพิษ

  • คำนวณการปล่อยมลพิษตามขอบเขตที่ 1 และ 2 ข้างต้น

  • ระบุการปล่อยมลพิษจากการดำเนินงานในขอบเขตที่ 3 และนำมาคำนวณ 

  • ทำแผนการดำเนินงานด้านสภาพอากาศด้วยตารางที่แน่นอน พร้อมกำหนดขอบเขตค่าใช้จ่าย

  • จัดทำแผนติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง

  • เปิดเผยข้อมูลจากการคำนวณต่อผู้ถือหุ้นและลูกค้า  

  • ช่วงเวลาฉลองความสำเร็จจากการดำเนินการ

เมื่อองค์กรต่างๆ ทราบถึงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่นำไปสู่การหารือถึงสิ่งที่ควรทำในขั้นต่อไปเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เกิดขึ้นน้อยที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้

ในบทความนี้เป็นการสรุปภาพรวมของแนวทางและความท้าทายเบื้องต้น ผู้อ่านสามารถติดตามรายละเอียดเคสของการคำนวนเพิ่มเติมได้ที่  Sustainable Brands


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

บางจาก ได้สินเชื่อรายแรกในไทย 6,500 ล้านบาทเพื่อพัฒนา SAF จากธนาคารยูโอบี ประเทศไทย

ธนาคารยูโอบี มอบสินเชื่อ 6,500 ล้านบาท สนับสนุนบางจากฯ พัฒนาโครงการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) แห่งแรกในไทย ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุด 80% เพื่อเป้าหมาย Net Zero 20...

Responsive image

One Bangkok จับมือ 5 สถาบันการเงินชั้นนำ รับดีล Green Loan สูงสุดในประวัติการณ์เพื่อพัฒนาโครงการ

One Bangkok ประกาศลงนามสัญญาสินเชื่อสีเขียวระยะยาวเพื่อพัฒนาโครงการมูลค่า 5 หมื่นล้านบาทร่วมกับ 5 สถาบันการเงินชั้นนำของประเทศไทย ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศ...

Responsive image

เจาะลึกวิกฤตน้ำกับ TCP เมื่อน้ำกำลังจะกลายเป็นของหายาก

วิกฤตน้ำทั่วโลกส่งผลกระทบหนักต่อระบบนิเวศและเศรษฐกิจ TCP เสนอแนวทางแก้ไขผ่าน Nature-based Solutions และกลยุทธ์บริหารจัดการน้ำ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจไทยในยุคโลกร้อน...