ยิ่งเป็นองค์กรที่มีขนาดใหญ่ การกำหนดแผนลดการปล่อยคาร์บอนและสามารถทำได้ตามเป้านั้น เป็นทั้งความง่ายและยาก ความง่าย คือ องค์กรส่วนใหญ่มักจะมีเงินทุนพร้อมปรับตัวสู่โลกดิจิทัล ส่วนความยาก คือ ขยับตัวลำบากเพราะมีทรัพยากรจำนวนมากจึงยากจะขับเคลื่อนได้ทั้งองคาพยพ อย่างไรก็ตาม มีตัวอย่างองค์กรที่ทำได้ตามแผนการลดคาร์บอนตั้งแต่ปี 2018 นั่นคือ อีตั้น (Eaton Corporation plc) บริษัทจัดการพลังงานอัจฉริยะสัญชาติอเมริกัน-ไอร์แลนด์ องค์กรระดับโลก (Global Company) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1911 หรือ 112 ปีมาแล้ว และปีนี้ก็จะได้ชื่อว่า เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NYSE ครบ 100 ปี
ด้านการเข้ามาทำธุรกิจในไทย อีตั้นเริ่มกิจการตั้งแต่ปี 1999 ในชื่อ บริษัท อีตั้น อิเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด โดยมี สุภัทรา รามสูต เป็น ผู้จัดการประจำประเทศไทย
เป้าหมายสำคัญของอีตั้น คือ การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้เทคโนโลยีและการให้บริการด้านการจัดการพลังงาน โดยตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา อีตั้นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงถึง 16% ซึ่งเป็นไปตามเป้าที่จะลดการปล่อยลงให้ได้ 50% ภายในปี 2030 และปริมาณของก๊าซที่ลดลงจนถึงปัจจุบัน เทียบได้กับจำนวนก๊าซที่ปล่อยออกมาจากรถยนต์ถึง 30,000 คัน
ที่น่าสนใจคือ 65% จากยอดขายสุทธิของอีตั้น มาจากการขายสินค้าในกลุ่ม ‘ธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม’ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ความเสถียรในพลังงานไฟฟ้า และการเพิ่มคุณภาพอากาศ ซึ่งหลังจากนี้ อีตั้นก็จะเน้นหนักในสินค้ากลุ่มนี้ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายหลักขององค์กร 4 ข้อหลัก ภายในปี 2030 ได้แก่ การสร้างโซลูชันส์ที่ยั่งยืน, การลดคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร, การเข้าไปมีส่วนร่วมกับพนักงานและคอมมูนิตี และการดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องและโปร่งใส
ไม่นานมานี้ มีวงเสวนาระหว่างผู้เชี่ยวชาญและผู้บริหารองค์กรด้านพลังงาน มีการพูดคุยกันในหัวข้อ ‘โมเดลทางธุรกิจที่จะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย’ โดยบุคคลที่ทำให้เห็นว่าไอเดียและวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนและการผลักดันธุรกิจสีเขียวให้แพร่หลายในประเทศไทยนั้น ได้แก่ อาทิตย์ เวชกิจ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน รวิวัฒน์ พนาสันติภาพ นายกสมาคมบริษัทจัดการพลังงานไทย สุภัทรา รามสูต ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อีตั้น อิเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด และ พีรศุษม์ ธีระโกเมน อุปนายกสมาคมบริษัทจัดการพลังงานไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ
เราต้องการ EV ที่มีราคาจับต้องได้ เมื่อใช้แล้วจะวางแผนการใช้ยานพาหนะได้ดีขึ้น เช่น EV ที่ขับได้ระยะทาง 400 กม. แล้วกลับมาชาร์จที่บ้านได้
มีคนไม่เชื่อเรื่อง Climate Change จำนวนมาก ถ้ายังไม่เชื่อจะขับเคลื่อนเรื่องนี้ลำบาก จึงอยากชวนดูสารคดีเกี่ยวกับโลกของเราที่สร้างขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์ เรื่อง Breaking Boundaries: The Science Of Our Planet ทาง Netflix ดูแล้วเราจะเชื่อและจะเข้าใจว่า Climate Change เป็นหนึ่งในหายนะ 9 เรื่องที่เราทำกับโลก และหากเราไม่สามารถลดอุณหภูมิโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาได้ หายนะอีก 8 เรื่องก็จะเป็นไปไม่ได้
ทั่วโลกต้องการการลงทุนด้านความยั่งยืน 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี เพื่อควบคุมอุณหภูมิโลกไม่เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศา แต่ในขณะเดียวกัน ไทยอยู่อันดับ 9 ของประเทศที่มีความเสี่ยงสูงจาก Climate Change เราจึงต้องเรียกร้องให้อีก 200 ประเทศร่วมทำด้วย ไม่อย่างนั้น ภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร การท่องเที่ยว ภาคบริการ และผู้ประกอบธุรกิจอีกมากมาย อาจมองข้ามไทย หรือย้ายฐานการผลิต เศรษฐกิจประเทศก็จะติดลบ
มีข้อมูลทางสถิติบอกว่า Gen Y พิจารณาและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีการลดคาร์บอน ไม่อย่างนั้นไม่ซื้อ ต่อไป การท่องเที่ยวที่ไม่กรีน Gen Y ก็จะไม่เที่ยว ไทยจึงมีความเสี่ยงที่จะขายบริการต่าง ๆ ไม่ได้
ไทยยังมีความเสี่ยงที่จะเจอกำแพงภาษี CBAM ที่กำหนดไว้ว่าจะโดนเก็บ 20% การที่ผู้ประกอบการใช้ผลิตภัณฑ์ดี ๆ ที่คำนึงถึงความยั่งยืนจึงช่วยลดภาษีได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการต้องคิดเรื่องความยั่งยืนกับความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ให้มากขึ้น และตอบให้ได้ว่า ทำไมผู้บริโภคต้องซื้อสินค้าของคุณไปใช้
เมื่อก่อนจะลงทุนอะไร เป้าหมายคือ ต้องคุ้มทุน แต่เนื่องจากการประเมินความคุ้มทุนจากการลงทุนด้านพลังงานนั้นทำได้ยากว่า ตอนนี้จึงเป็น ‘การลงทุนเพิ่มเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม’ และต้องวัดผลได้ เช่น เพื่อ Carbon Reduction, Carbon Footprint ของผลิตภัณฑ์ หรือ Carbon Footprint ขององค์กร
กล่าวถึง สมาคมบริษัทจัดการพลังงานไทย ว่ามีสมาชิกอยู่ 45 ราย มียอดขายรวมอยู่ที่ 8,000 พันล้านบาท หากนำงานที่ช่วยลดคาร์บอนมาคำนวณ ถือว่าลดคาร์บอนไปได้เยอะมาก และช่วยให้การใช้พลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เรื่องพนักงานสำคัญที่สุดในการสร้างความเปลี่ยนแปลง เพราะถ้าพนักงานไม่เห็นด้วยว่า โลกร้อน แล้วไม่สนใจที่จะทำ เราก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ แต่กรณีของอีตั้นได้เปรียบตรงที่มีการวิจัยออกสู่ตลาด ในขณะที่บางบริษัทไม่มีงานวิจัย ไม่มีการเก็บข้อมูลฟุตพรินต์ ทั้งการปล่อยคาร์บอน, การบริหารจัดการเรื่องน้ำ
สำหรับองค์กรที่ไม่มีสินค้าของตัวเอง จะช่วยโลกได้ก็ลดด้วยการเลือกสินค้าที่ช่วยลดการใช้พลังงาน หรือจะเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ก็ได้เช่นกัน แต่คงไม่ใช่ทุกบริษัท เพราะบางบริษัทก็ยังไม่ตอบโจทย์ด้านไฟแนนซ์ บางเรื่องยังไม่ตอบโจทย์ด้านความมั่นคง
ด้าน Energy Efficiency กับ Renewable Energy มีนวัตกรรมที่เป็นกรณีศึกษาจากต่างประเทศจำนวนมาก ไทยก็มีแต่น้อยกว่าเมืองนอก ดังนั้น ถ้ามีผู้ประกอบการด้านนี้เข้ามาในตลาดมากขึ้น ก็น่าจะช่วยผู้ประกอบการที่กำลังเปลี่ยนผ่านมาสู่การใช้เทคโนโลยีช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ เพราะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง
นอกเหนือจากอุปสรรคด้านนโยบายที่เกิดขึ้นทั่วโลก ยังมี 'ตัวเราเอง' เพราะเรามีความคุ้นชิน อยากสะดวกสบาย คนที่มีเงินส่วนหนึ่งยินดีฟุ่มเฟือย โดยไม่ได้ใส่ใจเรื่อง Green แต่ถ้าบริษัทมี Project Owner ที่เป็น Gen Y ก็จะใส่ใจเรื่องนี้มากขึ้น เพราะเป็นคนที่อยู่อีกยาวซึ่งก็หนีไม่พ้นที่จะต้องได้รับผลกระทบ
จากนี้เงินลงทุนจำนวนมากก็จะลงไปที่ Green Bond, Green Fund ส่วนเรื่องเงินกู้ หากพิจารณาวงเงินในอัตราที่เท่ากัน พบว่าการผ่อนโซลาร์มีดอกเบี้ยถูกกว่าผ่อนบ้าน ประเด็นนี้จะทำให้ความยั่งยืนเป็นเรื่องที่จับต้องได้มากขึ้นและกระจายถึงผู้อยู่อาศัยทั่วไปได้
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด