ในปัจจุบันเทรนด์ Sustainability เป็นสิ่งที่คนทั่วโลกพยายามทำเพื่อโลก แต่ในอนาคตแค่ยั่งยืนอาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะนอกจากเราจะดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมให้ ‘ไม่แย่ลงไปกว่านี้’ ก็ยังจำเป็นต้อง ‘ฟื้นฟูให้ดีขึ้นกว่าเดิม’ ซึ่งจะกลายเป็นแนวทางของธุรกิจในยุคต่อไป เรียกว่า Regeneration Paradigm
แนวทางนี้คืออะไร ทำยังไง และสำคัญแค่ไหน มาร่วมหาคำตอบได้ในงาน Techsauce Global Summit 2024 กับเซสชัน The World After Sustainability: What’s the Next Global Agenda โดย ดร.ศิริกุล เลากัยกุล ผู้อำนวยการ Sustainable Brands (SB) Thailand และคุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม ประธานและ CEO แห่ง SCG
ดร. ศิริกุล เลากัยกุล อธิบายว่า Regenerative เป็นแนวทางใหม่ที่ธุรกิจและสังคมใช้รับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อม แทนที่จะพยายามรักษาสิ่งที่เรามีอยู่ แนวคิดนี้มุ่งไปไกลกว่านั้น คือ การฟื้นฟูและปรับปรุงสิ่งที่สูญเสียหรือเสียหายไปแล้ว ซึ่งมีวิวัฒนาการของแนวทางการทำธุรกิจอยู่ทั้งหมด 4 ยุค อาทิ
Regenerative ยังมีหลักการอยู่ 7 ข้อ ได้แก่
คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กล่าวว่า Regenerative มีความสำคัญมากในปัจจุบัน ภาวะโลกร้อนทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเกือบ 2 องศาเซลเซียส และอาจสูงถึง 2.5 องศา ซึ่งอาจทำให้ป่าไม้กลายเป็นทะเลทรายได้
เมื่ออุณหภูมิสูงเกิน 2.5 องศาเซลเซียส และธรรมชาติจะไม่สามารถฟื้นตัวได้เอง ต้องการการฟื้นฟูจากมนุษย์ ถ้าอุณหภูมิยังเพิ่มขึ้น เราจะต้องพูดถึงการปรับตัวรับมือโลกใหม่แทนการลดคาร์บอน
ดังนั้น Regenerative จึงมีความสำคัญมากในขณะนี้ เช่น การฟื้นฟูดิน การสร้างการเกษตรแบบฟื้นฟู และการดักจับคาร์บอน
การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นสิ่งจำเป็น โดยต้องเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานในอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) และไปสู่จุด Net Negative ซึ่งหมายถึงการลดคาร์บอนในชั้นบรรยากาศให้มากกว่าที่ปล่อยออกมา หากไม่เร่งดำเนินการ เราจะเข้าใกล้จุดวิกฤตมากขึ้น การฟื้นฟูเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาโลกให้น่าอยู่สำหรับคนรุ่นต่อไป และตอนนี้คือเวลาที่ต้องลงมือทำก่อนจะสายเกินไป
คุณธรรมศักดิ์ ชี้ว่า เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนจากอุตสาหกรรมดั้งเดิมสู่การปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 ตามเป้าหมาย SDG ซึ่ง SCG ตระหนักถึงความสำคัญของเป้าหมายนี้อย่างมาก บริษัทมีการดำเนินการโดยใช้เทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนแนวทาง Regenerative อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านโครงการต่างๆ อาทิ:
นอกจากนี้คุณธรรมศักดิ์ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน ในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างอย่างยั่งยืน เพราะมันต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบ การปรับตัวของห่วงโซ่อุปทาน และความร่วมมือจากคู่แข่ง ทั้งนี้ SCG ยินดีที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero และสร้างการเติบโตสีเขียวอย่างยั่งยืน
การบรรลุเป้าหมายต้องการการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ เพราะถ้ามีเพียงบริษัทเดียวที่บรรลุ Net Zero แต่บริษัทอื่น ๆ ไม่ได้ทำ ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ SMEs ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 การสนับสนุนซึ่งกันและกันจะช่วยขับเคลื่อนระบบนิเวศทั้งหมดไปข้างหน้า หากเราไม่ทำร่วมกัน โลกอาจต้องเผชิญกับปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้อีกต่อไป
ดร. ศิริกุล กล่าวว่า เมื่อพูดถึงความยั่งยืน ผู้คนมักมองว่ามันเป็นเทรนด์หรือเป็นเพียงแค่กระแส แต่ความจริงมันเป็นความจำเป็นมากกว่า ดังนั้น แทนที่จะถามว่ากระแสต่อไปควรเป็นอย่างไร ควรเปลี่ยนเป็น เราควรเริ่มต้นอย่างไร ? เราจะทำมันได้อย่างไร ?
การโฟกัสไปที่เทรนด์ในอนาคตมากเกินไปอาจทำให้เราละเลยสิ่งที่จำเป็นต้องทำในปัจจุบัน ในโลกยุคปัจจุบัน การบรรลุเป้าหมาย Net Zero ไม่เพียงพออีกต่อไป เราควรมุ่งหวังไปที่ Net Positive ซึ่งหมายถึงการคืนกลับให้โลกมากกว่าที่เราได้ใช้ไป
แม้การบรรลุ Net Zero นั้นเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ แต่แต่เราก็ต้องพยายามต่อไป เนื่องจากมนุษย์ได้ทำร้ายโลกมาอย่างยาวนานแล้ว การมุ่งสู่ Net Positive จึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาและฟื้นฟูโลกให้ดีขึ้นในอนาคต โลกกำลังเอาคืนจากการกระทำของมนุษย์ในอดีตที่ทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยาวนาน
เราจำเป็นต้องชำระคืนสิ่งที่ได้ทำลายไป 2-3 เท่า ด้วยการคืนกลับสู่โลกให้มากกว่าที่เราได้เอามา แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่การบรรลุเป้าหมายนี้ไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง ต้องร่วมมือกับทุกคนในห่วงโซ่อุปทาน เพราะการจัดระเบียบและเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย
รวมถึงในปัจจุบัน AI เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการเรียนรู้จากบทเรียนทั่วโลก แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างขึ้นอยู่กับความคิดของเรา ว่าเราพร้อมที่จะลงมือทำหรือไม่ หากเรามีเครื่องมือทุกอย่างที่จำเป็นในมือ แต่ถ้าไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการลงมือทำ ทุกอย่างก็จะไม่มีความหมาย ถึงเวลาแล้วที่เราต้องปฏิบัติจริงและสร้างความแตกต่างที่ยั่งยืน
คุณธรรมศักดิ์ กล่าวถึงกลยุทธ์ของ SCG ในการรับมือกับปัญหาภาวะโลกร้อน โดยมองว่าเป็นทั้งภัยคุกคามและโอกาส เขาเชื่อมั่นว่าผู้บริโภคจะให้ความสำคัญและเต็มใจที่จะจ่ายสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำของ SCG ที่พัฒนาขึ้นจากชีวมวลที่นำมาแทนถ่านหิน ซึ่งได้มีการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาแล้วกว่า 1 ล้านตัน เมื่อมีคุณภาพและราคาเหมาะสม ผู้บริโภคก็ยินดีที่จะสนับสนุนผลิตภัณฑ์สีเขียว และความสำเร็จนี้เป็นตัวอย่างของสิ่งที่คุณธรรมศักดิ์เรียกว่า "การเติบโตสีเขียว"
สำหรับ SCG แล้ว การบรรลุเป้าหมายการเติบโตสีเขียวอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมีการร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ซัพพลายเออร์ ไปจนถึงประชาชนทั่วไป โดย SCG ได้ริเริ่มโครงการ Saraburi Sandbox ซึ่งมุ่งหมายที่จะทำให้จังหวัดสระบุรีเป็นเมือง Net Zero ที่ผลิตปูนซีเมนต์ 70% ของประเทศ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย แต่ SCG ได้เรียนรู้และมีความคืบหน้าในการสร้างแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมและส่งเสริมการเติบโตสีเขียว คุณธรรมศักดิ์ยังเน้นว่า SCG เปิดกว้างสำหรับความร่วมมือเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ในการพัฒนาอย่างยั่งยืนนี้
สิ่งที่ผมอยากขอคือ ให้ทุกท่านเปิดใจ และผมเชื่อมั่นว่า หากทุกท่านเปิดใจ ไม่ใช่แค่ SCG เท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จ แต่เราทุกคนจะก้าวไปสู่ความยั่งยืนได้อย่างแท้จริงครับ
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด