5 แนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ พาอาเซียนเปลี่ยนผ่าน สู่ ‘ความยั่งยืน’ จาก ESG Symposium 2025

คงเห็นกันแล้วว่าปีนี้ มีความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ความป่วนปั่นของห่วงโซ่อุปทานในระดับโลก เศรษฐกิจถดถอย ไหนจะความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ท่ามกลางพายุรอบด้านที่กำลังเผชิญอยู่นี้ หลายประเทศก็มุ่งเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Transition) สำหรับประเทศไทย มีตัวอย่างของ SCG องค์กร 112 ปี ที่ให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนานวัตกรรมที่ยั่งยืน และจัดงานด้านความยั่งยืนต่อเนื่องมาหลายปี ล่าสุดคือ ESG Symposium 2025 เวทีความยั่งยืนระดับอาเซียน ที่รวมผู้เชี่ยวชาญนานาชาติมาแลกเปลี่ยนความเห็นเชิงยุทธศาสตร์ร่วมกับการหาแนวทางสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวในชาติอาเซียน ภายใต้แนวคิด ‘GREEN BREAKTHROUGH AMID THE PERFECT STORM’ หรือ ‘เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน’  

ESG Symposium 2025 จัดขึ้นในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ณ สำนักงานใหญ่ SCG บางซื่อ และมีผู้เข้าร่วมงานจากภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ ฯลฯ คับคั่ง  

5 แนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ พาอาเซียนเปลี่ยนผ่านสู่ ‘ความยั่งยืน’

ในงาน ESG Symposium 2025 มีเวทีที่พูดถึงทิศทางการเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืนภายใต้บริบทของอาเซียนและโลก 5 หัวข้อ จาก 5 ผู้นำ/ผู้เชี่ยวชาญในระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งทีมเทคซอสสรุปประเด็นสำคัญมาให้อ่านในบทความนี้ 

  1. ‘Driving Just Transition in ASEAN: A Regional Perspective’ 
    โดย Mr. David McLachlan-Karr, Regional Director, UN Development Coordination Office (DCO), Asia- Pacific
  2. ‘Multi-Pathway Approaches for Practical transition to Carbon Neutrality’
     โดย Mr. Koji Sato – President and CEO, Toyota Motor Corporation 
  3. ‘Risk-Smart Resilience for a World of Rising Climate Extremes’ 
    โดย Dr. Sai Ravela - Principal Research Scientist, Earth, Atmospheric and Planetary Sciences, (EAPS), MIT
  4. ‘A Participatory Path to Climate Adaptation for Cities’
     โดย Prof. Miho Mazereeuw – Director of MIT Climate Mission and Director of Urban Risk Lab, MIT 
  5. ‘ASEAN’s Path to Resiliency: A Perspective from a Central Bank’
     โดย Dr. Sethaput Suthiwartnarueput - Governor of the Bank of Thailand
  • 1. ร่วมขับเคลื่อน ‘การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม’ ในอาเซียน 

Mr. David McLachlan-Karr, Regional Director, UN Development Coordination Office (DCO), Asia- PacificMr. David McLachlan-Karr, Regional Director, UN Development Coordination Office (DCO), Asia- Pacific กล่าวในหัวข้อ ‘Driving Just Transition in ASEAN: A Regional Perspective’ หรือ ‘มุมมองระดับภูมิภาค ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมในอาเซียน’ โดยเกริ่นถึงสภาวการณ์มากมายที่ต่างก็กำลังเผชิญ ขณะเดียวกัน โลกก็เผชิญวิกฤตซ้อนวิกฤต ซึ่ง อันโตนิโอ กูเตอร์เรส (António Guterres) เลขาธิการสหประชาชาติ เรียกว่า Triple Planetary Crisis หรือ วิกฤตหลักของโลกที่มนุษย์เผชิญ 3 เรื่อง ได้แก่ 1) ภาวะโลกร้อน ที่จัดว่าอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาแล้ว 2) การเพิ่มขึ้นของมลพิษ การจัดการมลพิษ และ 3) การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ 

สำหรับภูมิภาคอาเซียน Mr. David McLachlan-Karr บอกว่า มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนจึงจำเป็นอย่างยิ่ง และทางสหประชาชาติเองก็ร่วมสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านในหลายรูปแบบ อาทิ โครงการความร่วมมือเพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมในอินโดนีเซีย โดยช่วยจังหวัดที่ผลิตถ่านหินเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียว 

ในประเทศไทย สหประชาชาติสร้างความร่วมมือผ่านเครือข่าย ข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (UN Global Compact) ตัวแทนของบริษัทกว่า 130 แห่ง รวมถึง SCG ที่ระดมเงินได้ 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์จากภาคเอกชนในช่วงเวลา 10 ปี เพื่อใช้เชื่อมโยงความมุ่งมั่นขององค์กรกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ยึดโยงการลงทุนกับเป้าหมายระดับชาติ รวมถึงการดำเนินงานเพื่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจสีเขียว

Mr. David McLachlan-Karr เน้นย้ำว่า ‘การเปลี่ยนผ่าน’ ไม่ใช่แค่กระบวนการทางเทคนิค และต้องสัมพันธ์กับ ‘ธรรมาภิบาล การเข้ามามีส่วนร่วม และความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างภาครัฐกับประชาชน’ จึงจะเป็น ‘การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม’ ซึ่งสอดคล้องกับคุณค่าของ Pact for the Future (ข้อตกลงเพื่ออนาคต) ที่เรียกร้องให้มีความร่วมมือแบบพหุภาคีครอบคลุมมากขึ้น และมีความร่วมมือที่ดีขึ้นทั่วอาเซียน ตลอดจนทั่วภูมิภาคและทั่วโลก 

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม ต้องอาศัยแนวร่วมเพื่อขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงลงไปในระบบ จึงเป็นเหตุผลให้ความร่วมมือภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน (PPPP) มีความสำคัญอย่างยิ่ง และเมื่อรัฐบาลสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมแล้ว ธุรกิจสามารถปรับกลยุทธ์การเติบโตให้เข้ากับความยั่งยืนได้ ชุมชนต่างๆ มีเสียงมีผู้แทนของตัวเอง ผล กระทบก็จะเกิดขึ้นเป็นทวีคูณ

Mr. David McLachlan-Karr เชื่อมั่นว่า การเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ นี้ไม่ได้ทำผ่านทางนโยบาย แต่ผ่านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ผ่านผู้คน และที่สำคัญที่สุด ผลกระทบจากการดำเนินงานของภาคเอกชนสามารถนำไปสู่กระบวนการสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ โดยยกตัวอย่างความคิดริเริ่มที่เพิ่งได้ยินได้ฟัง นั่นคือ การทำ Saraburi Sandbox และ Net Zero Accelerator Program ของ SCG ที่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ทุกอย่างเป็นไปได้เมื่อภาคส่วนต่างๆ เคลื่อนไหว และจากการประสานงานก็สามารถพัฒนาไปสู่การร่วมสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างแท้จริง  

“เหล่านี้เป็นนวัตกรรมการกำกับดูแลที่แสดงให้เห็นว่า ระบบนิเวศท้องถิ่นสามารถบ่มเพาะแนวทางแก้ปัญหาที่มีความเกี่ยวข้องกับระดับโลกได้ และสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย เราคิดว่าสามารถนำไปทำซ้ำได้ในหลายๆ พื้นที่ ทั้งยังมีหลายสิ่งหลายอย่างให้เรียนรู้ในด้านประสบการณ์และทิศทางที่จะไปต่อของประเทศไทย ซึ่งทาง SCG เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในขณะนี้” Mr. David McLachlan-Karr กล่าว

ต่อด้วยการพูดถึง กรอบความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Cooperation framework) ซึ่งเป็นแผนปฏิบัติการ 5 ปี ที่สหประชาชาติลงนามแบบปีต่อปีกับรัฐบาลไทย เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือข้ามภาคส่วน ซึ่งในกรอบความร่วมมือของไทย มีทั้งตอนที่เกี่ยวข้องกับ การเงินสีเขียว (Green Finance) การพึ่งพากันในภาคอุตสาหกรรม (Industrial Symbiosis) และ คณะทำงานเพื่อการเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรม (Just Transition Task Forces) ที่ต้องทำงานกับรัฐบาลและสหประชาชาติ แล้วจึงเชื่อมโยงกับภาคเอกชน กลายเป็น ‘ความร่วมมือสามฝ่าย’ เพื่อทำให้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในไทยเกิดขึ้นจริงและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง 

สรุปแล้ว  Mr. David McLachlan-Karr จากสหประชาชาติกล่าวถึงบทบาทขององค์การในการเข้ามาสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน ว่าต้องสร้าง ‘การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม’ ไปพร้อมกัน ดังที่สหประชาชาติดำเนินงานในอินโดนีเซียและไทย โดยมีข้อตกลงหรือกรอบความร่วมมือที่ลงนามกับรัฐบาล เป็นแกนหลักในการเดินหน้าสร้างความเปลี่ยนแปลง  

ขณะเดียวกัน องค์กรเอกชนก็เป็นอีกฟันเฟืองที่สำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม ตลอดจนสร้างผลกระทบต่อไทยและอาเซียนได้ โดยยกตัวอย่าง SCG องค์กรเอกชนเบอร์ต้นๆ ของไทยที่ปรับแผนยุทธศาสตร์โดยมุ่งสู่เศรษฐกิจสีเขียว ทั้งยังทำ ‘สระบุรีเเซนด์บอกซ์’ ต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ จากการทำงานร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เกิดเป็นผลสัมฤทธิ์และแนวปฏิบัติเพื่อความยั่งยืนที่ผู้อื่นเรียนรู้ได้ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติและยุทธศาสตร์ชาติไทย

  • 2. หลากหลายแนวทางของการเปลี่ยนผ่านในภาคปฏิบัติ สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน 

Mr. Koji Sato - President and CEO, Toyota Motor CorporationMr. Koji Sato - President and CEO, Toyota Motor Corporation กล่าวในหัวข้อ ‘Multi-Pathway Approaches for Practical transition to Carbon Neutrality’ หรือ ‘หลากหลายแนวทางของการเปลี่ยนผ่านในภาคปฏิบัติสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน’ กล่าวว่า โตโยต้าเริ่มดำเนินกิจการในประเทศไทย 63 ปีก่อน และในปี 2530 ก็มี SCG เข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์ร่วมก่อตั้งบริษัทผลิตเครื่องยนต์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล พันธมิตร และลูกค้าเป็นอย่างดี จนปัจจุบัน สามารถส่งมอบรถให้ลูกค้าในไทย รวมแล้วกว่า 8 ล้านคัน และผลิตรถในไทยรวมกว่า 13 ล้านคัน 

Mr. Koji Sato บอกว่า โตโยต้ายึด 3 หลักการสำคัญในการทำธุรกิจ คือ 1) ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง - เน้นการทำให้โซลูชันด้านการเดินทางของโตโยต้าเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ 2) ลูกค้าต้องมาเป็นอันดับแรก - เน้นปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า และ 3) ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยการลงมือทำ - เน้นการลงมือทำ แม้อยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอน และให้เรียนรู้จากความท้าทายนั้นๆ

โตโยต้าให้ความสำคัญกับการตอบสนองความต้องการของลูกค้าโดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) เมื่อลูกค้าต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ความท้าทายตกอยู่ที่โตโยต้า และในที่สุด โตโยต้าก็ตัดสินใจลงทุนขยายธุรกิจผลิตรถสู่รถยนต์ไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

ภาวะโลกร้อน ย้ำเตือนว่าการลดการปล่อยคาร์บอนจากยานพาหนะทั่วโลกเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง Mr. Koji Sato จึงเปิดแผนภูมิที่แสดงให้เห็นว่า บริษัทวางแผนที่จะร่วมลดการปล่อยคาร์บอนให้ยานพาหนะที่กำลังใช้งานอยู่ในระดับโลก เปลี่ยนมาใช้ Carbon Neutral Fuels หรือ เชื้อเพลิงที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน ได้แก่ e-Fuel (เชื้อเพลิงสังเคราะห์) Biofuel (เชื้อเพลิงชีวภาพ) เพื่อทำให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอน 

สำหรับประเทศไทย Mr. Koji Sato บอกว่า มีการใช้ยานพาหนะอยู่ราว 20 ล้านคัน โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของยอดขายรถยนต์ไฮบริดในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 20% ของตลาด และเกือบ 30% ของยอดขายโตโยต้า และเนื่องจากประเทศไทยมีการใช้รถกระบะมากกว่ารถประเภทอื่นๆ ในปีที่ผ่านมา โตโยต้าทำโครงการนำร่องใช้แบตเตอรี่ EV กับ Toyota Hilux ทำเป็นรถสองแถวไฟฟ้าให้บริการในพัทยา และตั้งเป้าว่าจะเริ่มผลิตรถเพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์ภายในปีนี้

โตโยต้าพยายามทำให้ ‘ความเป็นกลางทางคาร์บอน’ บรรลุผล โดยปรับกระบวนการผลิตรถตลอด Life Cycle ไปจนถึงขั้นรีไซเคิล ไม่ว่าจะเป็น HEVs รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด, BEVs รถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่ 100% ฯลฯ รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงสำหรับ BEVs เจเนอเรชันต่อไป 

“เราเชื่อว่าการพัฒนาของเชื้อเพลิงมีบทบาทสำคัญ ซึ่งเชื้อเพลิงคาร์บอนนิวทรัล มีข้อได้เปรียบตรงที่ใช้ได้กับโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิม ก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับลูกค้า นอกจากนี้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเต็มไปด้วยวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งทำให้ภูมิภาคนี้มีโอกาสเป็นผู้นำในการพัฒนาและใช้เชื้อเพลิงชีวภาพระดับโลก ซึ่งทางโตโยต้าก็หวังว่าจะได้ทำงานใกล้ชิดกับรัฐบาลไทยและบริษัทพลังงานต่างๆ เพื่อสำรวจศักยภาพในด้านเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมร่วมกัน และมั่นใจว่าการเปลี่ยนผ่านจะเป็นประโยชน์ ครอบคลุม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” Mr. Koji Sato กล่าว

อย่างไรก็ตาม ความเป็นกลางทางคาร์บอน ไม่ใช่เป้าหมายปลายทางของโตโยต้า แต่เป็น Milestone สำคัญที่โตโยต้าต้องมุ่งไป เพื่อสร้างสังคมแห่งการเดินทางที่ยั่งยืนและทำให้ผู้คนมีความสุขมากยิ่งขึ้น

สรุปแล้ว สิ่งที่โตโยต้าให้ความสำคัญนอกเหนือจากการตอบสนองความต้องการของลูกค้า คือ การเปลี่ยนผ่านสู่ ‘ความเป็น กลางทางคาร์บอน’ ในหลายรูปแบบ โดยใช้นวัตกรรมและการสร้างความร่วมมือเป็นพื้นฐาน อาทิ ร่วมสนับสนุนให้รถบนท้องถนนลดการปล่อยคาร์บอน โดยหันมาใช้ e-Fuel/Biofuel, พัฒนารถประเภทต่างๆ เป็นรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า, ปรับเปลี่ยนตลอด Life Cycle ของรถโดยคำนึงถึงความยั่งยืนตั้งแต่กระบวนการผลิต การขนส่ง การบำรุงรักษา ไปจนถึงการรีไซเคิล, พัฒนาเชื้อเพลิงที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน ตลอดจนจับมือรัฐบาล พันธมิตร สำรวจศักยภาพทรัพยากรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้ต่อไป 

  • 3. ปรับตัวต่อความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด ในโลกที่มีสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว

Dr. Sai Ravela – Principal Research Scientist, Earth, Atmospheric and Planetary Sciences, (EAPS), MIT Dr. Sai Ravela – Principal Research Scientist, Earth, Atmospheric and Planetary Sciences, (EAPS), MIT ขึ้นกล่าวในหัวข้อ ‘Risk-Smart Resilience for a World of Rising Climate Extremes’ หรือ ‘ปรับตัวต่อความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด ในโลกที่มีสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว’ โดยเริ่มจากนำเสนอความสามารถในการฟื้นตัว ปรับตัว วางแผนเมื่อต้องเผชิญความเสี่ยงต่างๆ โดยแสดงภาพข้อมูลและเทคโนโลยีที่ใช้ ดังนี้

  • ภาพ Risk-Informed Resilience Planning แผนแจ้งเตือนว่ามีความเสี่ยงในพื้นที่ เช่น น้ำทะเลที่สูงขึ้นหลายระดับในพื้นที่กรุงเทพฯ หากมีพายุโหมกระหน่ำเข้ามาจะเป็นอย่างไร
  • ภาพ Gen-AI Vulnerability Mapping เป็นการใช้ Gen AI คาดการณ์ความเสี่ยงและพื้นที่เปราะบางที่อาจเกิดภัยพิบัติในอนาคต 
  • ภาพ LLM Enabled Casual Trace หรือการใช้ Large Language Model ตรวจจับความเปลี่ยนแปลงและความเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆ เพื่อวางแผนรับผิดชอบหรือเรียนรู้ในการที่จะปรับตัวต่อความเสี่ยง โดย ดร.ไซยกตัวอย่างการแก้ปัญหาในบังคลาเทศ ที่ให้คนในชุมชนมาร่วมเล่นเกมจำลองสถานการณ์เชิงกลยุทธ์เพื่อเพิ่มความสามารถในการปรับตัว (Resilience) ซึ่งผู้เล่นต้องสวมบทบาทต่างๆ เช่น เป็นชาวประมง แล้วเข้าไปแก้ปัญหาหรือหาทางต้านสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ถ้าทำได้หรือแก้ปัญหาได้ก็จะเป็นผู้ชนะ อย่างไรก็ดี เกมแนวนี้ SCG สามารถนำไปปรับใช้ได้ อาจให้ผู้เล่นสวมบทบาทเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านต่างๆ มาคำนวณโจทย์บางอย่างเพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจหรือวางแผนดำเนินงานต่อไป

Dr. Sai Ravela ยังชี้ให้ดูกราฟที่แสดงว่า อุณหภูมิในพื้นที่ใดเพิ่มสูงขึ้นและฉากทัศน์เกี่ยวกับสภาพอากาศในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งถ้าถามว่าอีก 100 ปีจะเป็นอย่างไร อาจพยากรณ์อนาคตได้ไม่แม่นยำขนาดนั้น เพราะข้อมูลในอดีตค่อนข้างจํากัดเกินกว่าที่จะใช้พยากรณ์อนาคตในระยะยาวได้   แต่อย่างไรก็ตาม มีเทคโนโลยีใหม่ที่ MIT พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยเรื่องการปรับตัวและฟื้นตัวจากความเสี่ยง อย่างแรก เป็นแบบจำลองสภาพภูมิอากาศเพื่อพยากรณ์สถานการณ์ในอีก 30 ปี 50 ปี 100 ปีข้างหน้า กับ อย่างที่สอง Downscaling คือการลดสเกลขนาดข้อมูลที่ได้มาแบบหยาบ จนเห็นรายละเอียดในระดับที่ใช้ตัดสินใจได้ ซึ่งจำเป็นต่อการคาดการณ์ความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำในทุกสภาพอากาศ ทั้งยังใช้ประกอบการวางแผนรองรับสถานการณ์เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น และเอื้อให้ภาครัฐและเอกชนดำเนินงานต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ   

“AI ช่วยเราได้มากทีเดียวและเป็นโมเดลที่ดีในการทํางาน ตัวอย่างที่อยากจะชี้ให้เห็นก็คือ จะเห็นว่ามีหนังสือพิมพ์ทั่วกรุงเทพฯ มีเรื่องราวบนสื่อต่างๆ มากมาย อย่างเหตุการณ์น้ําท่วม เราก็สามารถสร้างแผนที่ที่เชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่างให้เห็นว่ามัน connect กันอย่างไร โดยใช้ข้อมูลจากดาวเทียม จากฐานข้อมูลต่างๆ ร่วมด้วย” Dr. Sai Ravela กล่าว  

สรุปแล้ว Dr. Sai Ravela เน้นย้ำถึงความสำคัญและการเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี ว่าสามารถสร้างเครื่องมือที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้นและเร็วขึ้น อย่างเรื่องการปรับตัวต่อความเสี่ยงต่างๆ และการฟื้นตัวจากภัยพิบัติ สามารถดูผ่านแผนที่ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะได้ เช่น เพื่อดูพื้นที่ที่มีความเปราะบาง หรือเพื่อติดตามพื้นที่เสี่ยงสูง

  • 4. ร่วมปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศสำหรับคนอยู่ในเมือง

 Prof. Miho Mazereeuw – Director of MIT Climate Mission and Director of Urban Risk Lab, MIT 

Prof. Miho Mazereeuw – Director of MIT Climate Mission and Director of Urban Risk Lab, MIT มากล่าวในหัวข้อ ‘A Participatory Path to Climate Adaptation for Cities’ หรือ ‘เส้นทางการมีส่วนร่วมในการปรับตัวรับสภาพภูมิอากาศเมือง’ โดย Prof. Miho Mazereeuw เกริ่นถึง Urban Risk Lab ว่าเป็นหน่วยงานภายใต้ MIT ที่เน้นพัฒนาวิธีการ  เทคโนโลยี และสร้าง Prototype เพื่อหาแนวทางลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติต่างๆ ทั้งเรื่องของการออกแบบเมืองให้พร้อมรับมือกับภัยพิบัติ การช่วยให้ผู้คนฟื้นตัวจากภัยพิบัติได้เร็วขึ้น การทําวิจัยในพื้นที่ ทำวิจัยในแล็บ รวมถึงการสร้างเครื่องมือ สร้างซอฟต์แวร์ โดยทํางานร่วมกับคนในพื้นที่ซึ่งอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก เพื่อให้สิ่งที่คิดหรือพัฒนานั้นตอบโจทย์การใช้งานได้จริง

Prof. Miho Mazereeuw ยังบอกด้วยว่า การปรับตัวเพื่อให้อยู่ได้ท่ามกลางความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน (Multi-sector) พร้อมทั้งแนะให้สร้างความยืดหยุ่นในการทำงานข้ามระบบหรือภาคส่วนที่มีอยู่อย่างหลากหลาย เพื่อให้เกิดการปรับตัวแบบองค์รวมและทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คนท้องถิ่นก็สามารถเรียนรู้ นำไปปรับใช้ได้ และอาจส่งผลให้ท้องถิ่นนั้นๆ กลายเป็นพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีกแห่ง

ต่อด้วยการพูดถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิต ทรัพย์สิน และสภาพเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี และมีข้อมูลย้อนหลังว่า น้ำท่วมเคยก่อให้เกิดความเสียหายกว่า 2 พันล้านดอลลาร์

อย่างกรณีของน่านที่ถูกน้ำท่วมเสียหายมากที่สุดในรอบ 40 ปี ตอกย้ำว่าการปรับตัวของเมืองเป็นเรื่องเร่งด่วน และการที่จะลดความเสี่ยงต่างๆ ได้นั้น หลายฝ่ายต้องช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ ฝึกทักษะ ให้ประชาชนแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพราะตัวผู้ประสบภัยพิบัติเองก็ต้องการที่จะปรับตัวเพื่อรับมือสถานการณ์ต่างๆ ได้เองเช่นกัน

ในด้านการออกแบบเพื่อป้องกันภัยพิบัติสำหรับผู้อยู่อาศัยในอาคาร Prof. Miho Mazereeuw เปิดภาพถ่ายอาคารในเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา ที่สร้างบนฐานที่ยกตัวสูงขึ้น 

“เวลาน้ำท่วม อาคารสูงที่ตั้งอยู่บนฐานกันน้ำท่วมก็จะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ถ้าไม่มีฐานยกขึ้นจากพื้น อาคารก็จะได้รับผลกระทบทันที ดังนั้น เวลาที่จะสร้างอาคารใหม่ ก็จะมีหน่วยงานของรัฐเข้าไปคุยเรื่องการสร้างอาคารเพื่อให้ปรับตัวเข้ากับสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งช่วยป้องกันไปในตัวด้วยว่า จะออกแบบอาคารยังไงไม่ให้น้ำเข้า หรือออกแบบแบบไหนแล้วปกป้องชุมชนไว้ได้ทั้งชุมชน” 

ด้านโครงการที่ MIT Urban Risk Lab มีส่วนร่วมในประเทศไทย เช่น โครงการที่ทำร่วมกับ Resilience Collective เครือข่ายดีไซเนอร์และนักวิจัย จัดทำแพลตฟอร์มแผนที่ชุมชน กับอีกโครงการที่ MIT Urban Risk Lab ร่วมกับหมู่บ้านกว่า 300 แห่งในประเทศไทยจัดทำระบบปักหมุด COPIN ที่เน้นปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศ กล่าวคือ เป็นแพลตฟอร์มที่เปิดให้ผู้อาศัยในชุมชนต่างๆ รายงานปัญหาที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วม ดินถล่ม ด้วยการปักหมุดแจ้งปัญหาและแชร์พิกัดเข้าไปในระบบ พิกัดตำแหน่งก็จะถูกบันทึกเพื่อติดตามปัญหา แก้ปัญหา หรือนำไปวางแผนอพยพคนออกจากพื้นที่ หรือนำไปพัฒนากลยุทธ์การปรับตัวด้านอื่นๆ ต่อไป

และอีกไม่นาน Prof. Miho Mazereeuw บอกว่า จะเปิดตัวหนังสือ ‘Design Before Disaster’ ที่นำเสนอกรณีศึกษาการบูรณาการโครงสร้างแบบที่ใช้ได้สองวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมรับมือภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น เช่น กำแพงกันคลื่นที่ใช้กั้นเป็นพื้นที่ร้านอาหารในญี่ปุ่น

สรุปแล้ว การออกแบบเมืองให้พร้อมรับภัยพิบัติ ลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และช่วยให้ผู้คนปรับตัวได้ Prof. Miho Mazereeuw ตอกย้ำว่า ต้องอาศัยความร่วมมือจากคนในชุมชนชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหลายที่อยู่ในเมือง นักวิทยาศาสตร์ นักออกแบบ และหน่วยงานภาครัฐ จึงจะประสบความสำเร็จ

  • 5. แนวทางสู่ความยืดหยุ่นในอาเซียน จากมุมมองของธนาคารกลาง

 Dr. Sethaput Suthiwartnarueput – Governor of the Bank of Thailand

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวในหัวข้อ ‘ASEAN’s Path to Resiliency: A Perspective from a Central Bank’ หรือ ‘แนวทางสู่ความยืดหยุ่นในอาเซียน จากมุมมองของธนาคารกลาง’ โดยเกริ่นถึงความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์โลก ความท้าทายในอาเซียนที่ต้องแก้ไขหรือรับมือ เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การกำกับดูแลการใช้งานปัญญาประดิษฐ์  

ในที่นี่ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ เน้นที่เรื่องการปรับตัวของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และมีความเปราะบางที่ยากจะแก้ไข เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ในอาเซียนอาศัยอยู่ในพื้นที่ชายฝั่ง ส่วนมากทำการเกษตร เมื่อสภาพภูมิอากาศแปรปรวนจึงได้รับผลกระทบ ทั้งในภาคการเกษตร การท่องเที่ยว การผลิต 

ที่สำคัญ เศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนยังไม่ใช่ ‘เศรษฐกิจสีเขียว’ เพราะยังทำอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมซึ่งมีการปล่อยคาร์บอนอยู่มาก อาเซียนจึงเป็นภูมิภาคที่มี ‘เศรษฐกิจสีน้ำตาล’ และเป็นความท้าทายที่ต้องทำให้เศรษฐกิจของภูมิภาคนี้เป็นสีน้ำตาลน้อยลง และเป็นสีเขียวมากขึ้น ด้วยการสนับสนุนให้เกิด การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน (Green Transition)

โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs ที่ไม่มีความสามารถในการรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ และส่วนใหญ่ต้องดิ้นรนเพื่อทำธุรกิจให้อยู่รอด จากปัญหาสภาพภูมิอากาศ ภาษีการค้า ซึ่งเป็นประเด็นเร่งด่วน การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนของ SMEs จึงต้องไม่เป็นการเปลี่ยนผ่านแบบพลิกโฉม แต่ต้องค่อยๆ ปรับและสร้างสมดุลเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดตามมา

หากมองในด้าน ESG - E Environment หรือ สิ่งแวดล้อม สิ่งสําคัญที่ควรตระหนักถึงคือ ‘วิธีการเปลี่ยนผ่านของอาเซียน’ เพื่อทำให้บรรลุผลด้านความยั่งยืนได้จริง โดยให้มองเรื่องการทำให้ภาคธุรกิจมีสีน้ำตาลน้อยลงด้วย (Less Brown) อย่าโฟกัสแต่ธุรกิจสีเขียว ซึ่งในมุมของ SMEs อาจพิจารณาว่า SMEs รายใดมีแนวโน้มที่จะลดการปล่อยคาร์บอนหรือเริ่มทำกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับความยั่งยืน สามารถเข้าถึงสินเชื่อแล้วได้ดอกเบี้ยที่ต่ำลง อย่างการขอสินเชื่อเพื่อติดโซลาร์รูฟ นอกจากจะสร้างอิมแพ็กด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ยังลดภาพธุรกิจที่เป็นสีน้ำตาลอีกทางหนึ่ง 

ที่สำคัญ ‘รัฐบาล’ ต้องเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาเพื่อนำทางไปสู่การเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืนในอาเซียน โดยในส่วนที่ไม่สามารถพึ่งกลไกตามปกติได้ อาจสร้างกลไกบางอย่างขึ้นใหม่เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพ และเพื่อการสร้างรากฐานให้อนาคต เสนอให้มีการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน แม้ไทยและสิงคโปร์จะมีระบบที่มีความเชื่อมโยงกันอยู่ แต่ก็ยังขาดความเชื่อมโยงในระดับภูมิภาค ซึ่งถ้าทำได้ก็จะลดความซับซ้อนในการโอนเงินและพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคร่วมกันได้ 

ส่วนในเรื่องความเหลื่อมล้ำ ควรพิจารณาถึงความแตกต่างของสภาพทางเศรษฐกิจและชุมชนในอาเซียน แล้วเลือกใช้แนวทางที่เหมาะสม เนื่องจากพื้นฐานของแต่ละประเทศอาเซียนมีความแตกต่างกัน ให้เน้นการพัฒนาที่คำนึงถึงสภาวะแวดล้อมและการสร้างความยั่งยืนที่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่แตกต่างกันของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนก่อน 

โดย ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ยกตัวอย่างโครงการจัดเตรียมเงินทุนสําหรับการเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืืนของไทย ที่ธนาคารกลางร่วมกับ 8 ธนาคาร พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านทางการเงิน เพื่อให้องค์กรหรือ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการสามารถประเมินตัวเองได้ว่า ธุรกิจที่ทำอยู่นั้นเป็นสีเขียวมากแค่ไหน และหากรู้ว่าตอนนี้ยังเป็นสีน้ำตาลอยู่มาก ทำอย่างไรให้เป็นสีน้ำตาลน้อยลง เพิ่มความเป็นสีเขียวมากขึ้น 

“เมื่อเรามีเป้าหมายร่วมกัน แล้วก็มีเงินเข้ามาช่วยเปลี่ยนผ่านตรงนี้แล้วประมาณ 900 ล้านบาท ในการทำให้ธุรกิจมีสีน้ำตาลน้อยลง มีสีเขียวมากขึ้น บริษัทอาจเริ่มดำเนินการแบบ Top-Down ให้ทำเรื่องความยั่งยืนโดยสั่งจากบนลงล่าง ก็เป็นวิธีหนึ่งที่อาศัยความร่วมมือร่วมใจเพื่อทำให้การเปลี่ยนผ่านประสบผลสําเร็จ”  

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒ แนะในภาคปฏิบัติ แล้วกล่าวถึงปัจจัยที่ต้องมีและต้องทำสำหรับบริบทของประเทศไทย เพื่อไปสู่ความสําเร็จด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน โดย 1) ต้องกำหนดแนวทางการทํางานร่วมกัน 2) ให้ธนาคารออกแบบผลิตภัณฑ์สําหรับภาคส่วนหรือลูกค้าที่รู้จักเป็นอย่างดี 3) กําหนด KPI ให้ SMEs ในด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน และจูงใจด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ โดยรัฐบาลต้องเป็นผู้นำเรื่องการเปลี่ยนผ่าน แล้วองค์กรขนาดใหญ่่เข้ามาร่วมด้วยช่วยผลักดัน SMEs เปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนให้สำเร็จ

จากนั้นฝากประเด็นสุดท้ายไว้ว่า ให้พยายามทําสิ่งที่สามารถทำได้ในบริบทของประเทศและอาเซียน โดยไม่มุ่งเป้าว่าต้องทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ เข้ามาเป็นอุปสรรคในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว

สรุปได้ว่า ในมุมของธนาคารกลาง มี 4 แนวทางสำคัญที่ภูมิภาคอาเซียนจะเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว คือ 1) ให้ความสำคัญในเรื่องการปรับตัว (Adaption) 2) เน้นการทำให้ธุรกิจมีสีน้ำตาลน้อยลง (Less Brown) อย่าโฟกัสแต่สีเขียว เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านทีละเล็กละน้อยทำได้โดยไม่ท้อไปเสียก่อน 3) รัฐบาลต้องเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน แล้วภาคส่วนอื่นๆ ค่อยทำตาม และ 4) ทําสิ่งที่สามารถทำได้ในบริบทของประเทศและอาเซียน โดยไม่ต้องรอให้สมบูรณ์แบบแล้วค่อยลงมือทำ

#SCG #ESGSymposium2025 #GreenBreakthroughAmidThePerfectStorm #เร่งด้วยกรีนรอดด้วยกัน 

บทความนี้เป็น Advertorial 

 

 




ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

เจาะลึกรายงาน World Energy Outlook เมื่อโลกเข้าสู่ ‘ยุคแห่งไฟฟ้า’ และสมรภูมิชิงทรัพยากรที่เปลี่ยนจากน้ำมันเป็นแร่ธาตุ

เจาะลึก World Energy Outlook 2025 โลกเข้าสู่ยุคแห่งไฟฟ้าและสงครามแร่ธาตุ AI และ EV ดันดีมานด์ไฟพุ่ง จีนครอง Supply Chain ขณะที่ก๊าซ LNG จ่อล้นตลาด...

Responsive image

MIT เปิดตัวอุปกรณ์ Ultrasonic ดึงน้ำจากอากาศเร็วขึ้น 45 เท่า ความหวังใหม่ในโลกที่กำลังแห้งลง

MIT พัฒนาอุปกรณ์อัลตราโซนิกที่สกัดน้ำจากอากาศได้เร็วขึ้น 45 เท่า ใช้พลังงานต่ำและทำงานได้หลายรอบต่อวัน เปิดทางสู่อนาคตการผลิตน้ำสะอาดในพื้นที่แห้งแล้งและชุมชนขาดแคลนน้ำ...

Responsive image

เจาะลึกอนาคตเศรษฐกิจสีเขียว ‘ฉลากสิ่งแวดล้อม’ ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นใบเบิกทางสู่ความยั่งยืน และความอยู่รอดทางธุรกิจ

สรุปเวทีเสวนา 'ทิศทางฉลากสิ่งแวดล้อม' จาก TEI, HomePro และ IFC เจาะลึกเทรนด์ EPD, เศรษฐกิจหมุนเวียน และอาคารเขียว ที่ไม่ใช่แค่ 'ทางเลือก' แต่เป็น 'ทางรอด' ของธุรกิจ...