กระแสทุนจีนกำลังรุกคืบหลายประเทศทั่วโลกไม่เว้นแต่ประเทศไทย นับเป็นปรากฏการณ์ที่เด่นชัดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นจากสินค้าและบริการจากแดนมังกรที่แทรกซึมเข้าสู่ทุกซอกมุมของสังคมไทย สร้างทั้งโอกาสและความท้าทายให้กับเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่คำถามที่น่าสนใจคือ ทำไมเม็ดเงินเหล่านี้ถึงไหลเข้ากระเป๋าคนจีนเป็นส่วนใหญ่? บทความนี้จะพาทุกคนเจาะลึกปัจจัยการบุกของสินค้าจีนในไทย พร้อมทั้งหาคำตอบการรับมือของไทยไปพร้อมๆ กันในบทความนี้
การรุกตลาดไทยของทุนจีนอย่างหนักหน่วงไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภค บริโภค หรือแบรนด์ต่างๆ ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจภายในจีนกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่นำไปสู่ภาวะเงินฝืดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากปัญหาวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ และอัตราการว่างงานของคนรุ่นใหม่ จนส่งผลให้ชาวจีนจำนวนมากระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ดังนั้น หลายธุรกิจในจึงต้องแสวงหาตลาดใหม่ๆ เพื่อระบายสินค้าและรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ข้อตกลงการค้าเสรี เช่น ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ก็มีส่วนช่วยเปิดประตูการค้าระหว่างจีนและไทยอย่างกว้างขวาง ขณะที่เทคโนโลยีดิจิทัลและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ รวมถึงโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok ทำให้ธุรกิจจีนเข้าถึงผู้บริโภคไทยได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น
เม็ดเงินทุนจีนไหลทะลักเข้าตั้งธุรกิจไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2023 ไทยนำเข้าสินค้าจีนมูลค่ากว่า 4.69 แสนล้านบาท ซึ่งจุดแข็งที่ทำให้ทุนจีนสามารถบุกไทยมาจากการผลิตสินค้าได้ปริมาณมาก แต่ต้นทุนต่อหน่วยต่ำ ทำให้ขายได้ในราคาที่ถูกกว่า และการมีคลังสินค้าในไทย ทำให้ส่งสินค้าได้รวดเร็ว ค่าขนส่งถูกลง เคลมสินค้าได้ง่าย
นอกจากนี้การจดทะเบียนธุรกิจจีนในไทยข้อมูลล่าสุด ณ กรกฎาคม 2567 ชี้ชัด มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลของทุนต่างชาติในไทยแล้วกว่า 131,504 ราย คิดเป็นมูลค่ามหาศาลถึง 9.94 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 3.25% และเข้ามายึดส่วนแบ่งตลาดในหลากหลายธุรกิจ
เริ่มต้นจากสินค้าอุปโภคบริโภค ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคไทยจำนวนมาก ด้วยราคาที่จับต้องได้ในคุณภาพที่ใกล้เคียงกันกับสินค้าไทย และการเข้ามาของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่สัญชาติจีน อาทิ Shein, Temu, Lazada, TikTok และ Taobao กลายเป็นสะพานเชื่อมโยงผู้บริโภคไทยสู่สินค้าจีนราคาประหยัดจากโรงงานได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านมือพ่อค้าคนกลาง
ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มสัญชาติจีน ก็รุกคืบตลาดไทยอย่างร้อนแรงไม่แพ้กัน โดยเฉพาะแบรนด์แฟรนไชส์ชื่อดังที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเช่น Mixue, Wedrink, Zhengxin Chicken และ Cotti Coffee โดยใช้กลยุทธ์ "ราคาถูก เข้าถึงง่าย ขยายสาขาไว" เล่นกับราคาเริ่มต้นที่ดึงดูดใจ เพียง 15-50 บาท ซึ่งได้เปรียบจากต้นทุนที่ต่ำกว่า บวกกับเป็นโมเดลแฟรนไชส์ที่ใช้เงินลงทุนไม่สูง ทำให้ขยายสาขาได้รวดเร็ว ครอบคลุมหลายพื้นที่และเข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
แต่ที่น่าจับตามองยิ่งกว่าคือ การสร้าง "ระบบนิเวศ" ของทุนจีนในประเทศไทยเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวและชาวจีนที่อาศัยไทยผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่สัญชาติจีนอย่าง Feixiang (ช้างบิน) และ Gokoo (หงอคง) ซึ่งนอกจากจะให้บริการเป็นภาษาจีนแล้ว ยังรวมการรีวิวร้านอาหาร การส่งของ จองโรงแรม รวมถึงการจองตั๋วต่างๆ ล้วนถูกบรรจุไว้ในแพลตฟอร์มเดียว
ปัจจัยด้านราคาที่ถูกกว่า จึงกลายเป็นแม่เหล็กสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเปิดใจเลือกแบรนด์จีนเมื่อเทียบกับสินค้าประเภทเดียวกัน กลยุทธ์การสร้างระบบนิเวศแบบครบวงจรนี้ สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของทุนจีนที่ไม่ได้มุ่งเพียงแค่การขายสินค้า แต่ต้องการครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดในทุกมิติ
การหลั่งไหลเข้ามาของทุนจีน เปรียบเหมือนดาบสองคมที่อาจส่งผลกระทบในหลายมิติ
แม้รัฐบาลจะพยายามรับมือการรุกคืบของทุนจีนด้วยมาตรการภาษี เช่น การเก็บ VAT 7% จากสินค้านำเข้าที่มูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้น
โดยคุณป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ CEO จาก Pay Solutions ได้เสนอแนวทางสำหรับการปรับตัวกับการเข้ามาของทุนจีนทั้งภาครัฐและภาค SMEs เอาไว้ดังต่อไปนี้
ภาครัฐ:
ภาค SMEs:
การรับมือกับการรุกคืบของทุนจีน ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชน โดยภาครัฐต้องสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม ขณะที่ SME ไทยต้องปรับตัว พัฒนาสินค้าและบริการ สร้างแบรนด์ให้โดดเด่น และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี สร้างจุดแข็งให้สินค้าไทยเพื่อความอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
อ้างอิง: techsauce(1),(2),(3), facebook(1),(2),(3), kasikornresearch(1),(2), bangkokbiznews, moneyandbanking, prachachat, cyzone.cn
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด