ถอดรหัส 3 โมเดลธุรกิจทุนจีนบุกไทย จะรับมืออย่างไร ให้ธุรกิจไทยอยู่รอด? | Techsauce

ถอดรหัส 3 โมเดลธุรกิจทุนจีนบุกไทย จะรับมืออย่างไร ให้ธุรกิจไทยอยู่รอด?

กระแสทุนจีนกำลังรุกคืบหลายประเทศทั่วโลกไม่เว้นแต่ประเทศไทย นับเป็นปรากฏการณ์ที่เด่นชัดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นจากสินค้าและบริการจากแดนมังกรที่แทรกซึมเข้าสู่ทุกซอกมุมของสังคมไทย สร้างทั้งโอกาสและความท้าทายให้กับเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่คำถามที่น่าสนใจคือ ทำไมเม็ดเงินเหล่านี้ถึงไหลเข้ากระเป๋าคนจีนเป็นส่วนใหญ่? บทความนี้จะพาทุกคนเจาะลึกปัจจัยการบุกของสินค้าจีนในไทย พร้อมทั้งหาคำตอบการรับมือของไทยไปพร้อมๆ กันในบทความนี้

ทำไมสินค้าจีนถล่มไทยมากขนาดนี้ ?

การรุกตลาดไทยของทุนจีนอย่างหนักหน่วงไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภค บริโภค หรือแบรนด์ต่างๆ ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจภายในจีนกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่นำไปสู่ภาวะเงินฝืดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากปัญหาวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ และอัตราการว่างงานของคนรุ่นใหม่ จนส่งผลให้ชาวจีนจำนวนมากระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ดังนั้น หลายธุรกิจในจึงต้องแสวงหาตลาดใหม่ๆ เพื่อระบายสินค้าและรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจ 

นอกจากนี้ ข้อตกลงการค้าเสรี เช่น ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ก็มีส่วนช่วยเปิดประตูการค้าระหว่างจีนและไทยอย่างกว้างขวาง ขณะที่เทคโนโลยีดิจิทัลและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ รวมถึงโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok ทำให้ธุรกิจจีนเข้าถึงผู้บริโภคไทยได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น

3 ประเภททุนจีนบุกไทยเงินไหลเข้ากระเป๋าจีน

เม็ดเงินทุนจีนไหลทะลักเข้าตั้งธุรกิจไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2023 ไทยนำเข้าสินค้าจีนมูลค่ากว่า 4.69 แสนล้านบาท ซึ่งจุดแข็งที่ทำให้ทุนจีนสามารถบุกไทยมาจากการผลิตสินค้าได้ปริมาณมาก แต่ต้นทุนต่อหน่วยต่ำ ทำให้ขายได้ในราคาที่ถูกกว่า และการมีคลังสินค้าในไทย ทำให้ส่งสินค้าได้รวดเร็ว ค่าขนส่งถูกลง เคลมสินค้าได้ง่าย

นอกจากนี้การจดทะเบียนธุรกิจจีนในไทยข้อมูลล่าสุด ณ กรกฎาคม 2567 ชี้ชัด มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลของทุนต่างชาติในไทยแล้วกว่า 131,504 ราย คิดเป็นมูลค่ามหาศาลถึง 9.94 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 3.25% และเข้ามายึดส่วนแบ่งตลาดในหลากหลายธุรกิจ

1. ทุนจีนในคราบอีคอมเมิร์ซ

เริ่มต้นจากสินค้าอุปโภคบริโภค ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคไทยจำนวนมาก ด้วยราคาที่จับต้องได้ในคุณภาพที่ใกล้เคียงกันกับสินค้าไทย และการเข้ามาของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่สัญชาติจีน อาทิ Shein, Temu, Lazada, TikTok และ Taobao กลายเป็นสะพานเชื่อมโยงผู้บริโภคไทยสู่สินค้าจีนราคาประหยัดจากโรงงานได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านมือพ่อค้าคนกลาง

2. ร้านอาหารและเครื่องดื่มจากจีน

ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มสัญชาติจีน ก็รุกคืบตลาดไทยอย่างร้อนแรงไม่แพ้กัน โดยเฉพาะแบรนด์แฟรนไชส์ชื่อดังที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเช่น  Mixue, Wedrink, Zhengxin Chicken และ Cotti Coffee โดยใช้กลยุทธ์ "ราคาถูก เข้าถึงง่าย ขยายสาขาไว" เล่นกับราคาเริ่มต้นที่ดึงดูดใจ เพียง 15-50 บาท ซึ่งได้เปรียบจากต้นทุนที่ต่ำกว่า บวกกับเป็นโมเดลแฟรนไชส์ที่ใช้เงินลงทุนไม่สูง ทำให้ขยายสาขาได้รวดเร็ว ครอบคลุมหลายพื้นที่และเข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว 

3. วางระบบระบบนิเวศธุรกิจ ‘ซื้อ ขาย ส่ง’ ผ่านแพลตฟอร์มจีน โดยลูกค้าจีน

แต่ที่น่าจับตามองยิ่งกว่าคือ การสร้าง "ระบบนิเวศ" ของทุนจีนในประเทศไทยเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวและชาวจีนที่อาศัยไทยผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่สัญชาติจีนอย่าง Feixiang (ช้างบิน) และ Gokoo (หงอคง) ซึ่งนอกจากจะให้บริการเป็นภาษาจีนแล้ว ยังรวมการรีวิวร้านอาหาร การส่งของ จองโรงแรม รวมถึงการจองตั๋วต่างๆ ล้วนถูกบรรจุไว้ในแพลตฟอร์มเดียว 

ปัจจัยด้านราคาที่ถูกกว่า จึงกลายเป็นแม่เหล็กสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเปิดใจเลือกแบรนด์จีนเมื่อเทียบกับสินค้าประเภทเดียวกัน กลยุทธ์การสร้างระบบนิเวศแบบครบวงจรนี้ สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของทุนจีนที่ไม่ได้มุ่งเพียงแค่การขายสินค้า แต่ต้องการครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดในทุกมิติ 

ผลกระทบสุดโหดจากทุนจีน ‘ผู้บริโภคถูกใจแต่ SME ไทยอาจไม่รอด’

การหลั่งไหลเข้ามาของทุนจีน เปรียบเหมือนดาบสองคมที่อาจส่งผลกระทบในหลายมิติ 

  • ทางเลือกของลูกค้า: ด้านหนึ่งก็ช่วยให้ผู้บริโภคไทยมีทางเลือกในการบริโภคสินค้าและบริการที่หลากหลายมากขึ้น สินค้าราคาถูกช่วยลดภาระค่าครองชีพ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวจีนเติบโต เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นในบางภาคส่วน
  • SME ไทยอาจไม่รอด: แต่ในทางกลับกัน ธุรกิจไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง SME ต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรง ไทยเผชิญปัญหาขาดดุลการค้ากับจีนอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2023 ไทยขาดดุลการค้ากับจีนสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ -3.66 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.1 ล้านล้านบาท และในครึ่งปีแรกของปี 2024 มีการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นถึง 7.12% คิดเป็นมูลค่ากว่า 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.33 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าจากจีน -1.99 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 7.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.66% ซึ่งเสี่ยงต่อการพึ่งพาเศรษฐกิจจีนมากเกินไป สร้างความท้าทายให้กับธุรกิจและ SME ไทยต้องปรับตัวรับมือกับการแข่งขันที่จะดุเดือดขึ้น

ไทยจะรับมือทุนจีนได้อย่างไร? 

แม้รัฐบาลจะพยายามรับมือการรุกคืบของทุนจีนด้วยมาตรการภาษี เช่น การเก็บ VAT 7% จากสินค้านำเข้าที่มูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้น

โดยคุณป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ CEO จาก Pay Solutions ได้เสนอแนวทางสำหรับการปรับตัวกับการเข้ามาของทุนจีนทั้งภาครัฐและภาค SMEs เอาไว้ดังต่อไปนี้

ภาครัฐ:

  1. สร้างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสัญชาติไทย: เป็นทางเลือกใหม่ที่เป็นธรรม ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติ และลดความเสี่ยงจากการผูกขาด
  2. กำหนดกฎกติกาที่เป็นธรรม: สร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการไทย ทั้งในด้านค่าบริการ การเข้าถึงข้อมูล และการสนับสนุนต่างๆ
  3. ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ: รักษาเม็ดเงินภายในประเทศ สร้างงาน สร้างรายได้
  4. ควบคุมดูแลแพลตฟอร์มต่างชาติ: ให้ดำเนินธุรกิจภายใต้กฎหมายไทย กำกับดูแลการใช้ข้อมูล การกำหนดราคา และการส่งเสริมการขายให้เป็นธรรม เพื่อให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม
  5. พัฒนากฎหมายและกฎระเบียบให้ทันสมัย: ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายอีคอมเมิร์ซ กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎหมายไซเบอร์ เป็นต้น
  6. ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม: สนับสนุน SMEs และผู้ประกอบการรายย่อยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน องค์ความรู้และเทคโนโลยี

ภาค SMEs:

  1. สู้ด้วยคุณภาพ: เน้นคุณภาพสินค้า มาตรฐานชัดเจน เช่น มอก. หรือ อย. สร้างความแตกต่างด้วยการชูวัตถุดิบท้องถิ่นที่แตกต่าง และบริการหลังการขายที่ดีกว่า
  2. สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง: หลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคา สร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ เนื่องจากสินค้าจีนไม่เน้นขายแบรนด์ แต่เน้นขายของถูกเป็นหลัก
  3. เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่: มุ่งเป้าไปที่กลุ่มที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าราคา เช่น ตลาดส่งออกในญี่ปุ่น ยุโรป เป็นต้น
  4. สร้างทีมตลาดออนไลน์: มีทีมงานเฉพาะที่เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์เพื่อให้เท่าทันเทรนด์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
  5. หาพันธมิตรทางธุรกิจ: ร่วมมือกับธุรกิจอื่นเพื่อแบ่งปันฐานลูกค้าและทรัพยากรระหว่างธุรกิจ

การรับมือกับการรุกคืบของทุนจีน ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชน โดยภาครัฐต้องสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม ขณะที่ SME ไทยต้องปรับตัว พัฒนาสินค้าและบริการ สร้างแบรนด์ให้โดดเด่น และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี สร้างจุดแข็งให้สินค้าไทยเพื่อความอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต 

อ้างอิง: techsauce(1),(2),(3), facebook(1),(2),(3), kasikornresearch(1),(2), bangkokbiznews, moneyandbanking, prachachat, cyzone.cn

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

เจาะลึกกลยุทธ์องค์กรยุคดิจิทัลกับการควบรวมกิจการในด้าน AI

สำรวจแนวโน้มการควบรวมกิจการด้าน AI ตั้งแต่ปี 2020-2024 กับกลยุทธ์องค์กรที่มุ่งเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ผ่านการลงทุนเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์...

Responsive image

สงคราม LLMs พลิกโฉมนวัตกรรม กำหนดอนาคต AI

ในปี 2024 โลกแห่งปัญญาประดิษฐ์กำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญในการแข่งขันอันดุเดือดในตลาด LLMs ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือทางเทคโนโลยี แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมทั่ว...

Responsive image

รู้จัก RNA Therapeutics โอกาสที่มาพร้อมความท้าทาย สู่อนาคตใหม่ของการรักษาโรค

เทคโนโลยี RNA therapeutics กำลังปฏิวัติวงการรักษาโรค ด้วยศักยภาพในการรักษาโรคที่รักษาได้ยาก ความก้าวหน้าในด้านนี้ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาล คาดการณ์ว่าตลาด RNA therapeutics จะม...