ในปัจจุบัน Chatbot เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันเราแบบไม่รู้ตัว ยกตัวอย่างเช่น การสอบถามสินค้าหรือบริการที่เราใช้อยู่ประจำผ่านทาง Facebook Page อาจมีระบบตอบอัตโนมัติ หรือให้เข้าเมนูตามที่เรากดเลือกเหมือนการเข้าสู่ระบบ Call Center ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าตอนนี้คนไทยและต่างชาติก็เริ่มพัฒนา Chatbot ด้านสุขภาพขึ้นมาแล้ว

น่าสนใจใช่ไหมครับ เรามาดูกันดีกว่าว่ามี Chatbot อะไรบ้าง

1. จับใจ แชทบอทคัดกรองภาวะซึมเศร้า

Photo: Twitter @aispdiary

Jubjai Bot ถือเป็น Chatbot ที่ให้บริการผ่าน Facebook Messenger ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะผู้คนในปัจจุบันมีแนวโน้มจะเกิดภาวะซึมเศร้าจนนำไปสู่ "โรคซึมเศร้า" ได้เป็นจำนวนมาก การมี Chatbot ประเมินภาวะซึมเศร้าจึงถือเป็นเรื่องดีที่จะช่วยลดการสูญเสียชีวิตลงได้

Chatbot นี้พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยมหิดล เปิดให้ทดลองใช้งานในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2560 ที่ผ่านมาจนได้การตอบรับเป็นอย่างดี จนบางครั้งเกิดระบบล่ม หรือมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมา จนต้องจึงปิดปรับปรุงระบบและเตรียมกลับมาให้บริการอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2561

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Jubjaibot.com หรือที่เพจ Jubjai Bot

2. ตุ้ยนุ้ย แชทบอทช่วยตอบแคลอรี่อาหาร

Tuinui Bot เป็น Chatbot พัฒนาโดย Zwiz.AI มีจุดประสงค์เพื่อช่วยตอบว่าอาหารมีแคลอรี่เท่าไร กิจกรรมออกกำลังรูปแบบต่างๆ เผาผลาญแคลอรี่ได้เท่าไร BMI ก็คำนวณได้ BMR ก็คำนวณได้ เรียกว่าครบเครื่องการดูแลสุขภาพจริงๆ

อีกทั้งยังช่วยบันทึกแคลอรี่รายวันไว้ในแชทได้อีกด้วย ไม่ธรรมดาจริงๆ สำหรับแชทบอทตัวนี้

3. Dr.Meaw Bot แชทบอทแนะนำเรื่องสุขภาพ

4. LINE Official Account โรงพยาบาลสมิติเวช

ช่วงเดือนกันยายน 2560 LINE ประเทศไทย และโรงพยาบาลสมิติเวช เปิดตัว Official Account ของเครือโรงพยาบาลสมิติเวช และ LINE Beacon เพื่อให้บริการผู้ป่วยของโรงพยาบาลสมิติเวช ถือเป็นจุดเริ่มที่ดีสำหรับการนำเทคโนโลยีมาให้กับการดูแลผู้ป่วยที่มาใช้บริการที่โรงพยาบาล

ซึ่งใน LINE Official Account ของโรงพยาบาลสมิติเวช ก็มีส่วนของแชทบอทที่ตอบปัญหาสุขภาพได้ในระดับเบื้องต้นอีกด้วย น่าติดตามว่าอนาคตจะพัฒนาความสามารถเพิ่มเติมอะไรอีกบ้าง

5. Woebot แชทบอทที่ช่วยคลายความเหงาหรือความเศร้าได้

Chatbot ตัวสุดท้ายนั่นคือ Woebot ให้บริการผ่าน Facebook Messenger โดยใช้หลักการบำบัดแบบ CBT (Cognitive Behavioral Therapy - การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม) ซึ่งเป็นหลักการบำบัดจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งแชทบอทตัวนี้ก็มีความสามารถในการเรียนรู้อารมณ์และความรู้สึกจากการพูดคุยกับเราพร้อมให้คำแนะนำต่าง ๆ แก่เราได้

ในเวลานี้ Chatbot ตัวนี้ให้บริการฟรีครับ แต่ต้องคุยเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น

สุดท้ายนี้ อยากจะบอกว่าในเวลานี้ Chatbot ยังไม่สามารถรักษาโรคทางการแพทย์ได้นะครับ บทความนี้เป็นการนำเสนอเพื่อให้เห็นถึงการพัฒนาของเทคโนโลยีในปัจจุบัน การไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลหรือคลินิกจึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในเวลานี้ครับ ;)

ส่วนใครอยากเห็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ HealthCare หรือ HealthTech ต้องไม่พลาดงาน Techsauce Global Summit 2018 กันนะครับ อย่าลืมกดจองบัตรกันโดยพลัน (เพราะช่วงนี้ราคาพิเศษมาก!!!) อย่าพลาดเลยนะครับ มีเทคโนโลยีต่าง ๆ รออวดโฉมอยู่อย่างแน่นอน