คลื่นเทคโนโลยีได้เข้ามา disrupt ธุรกิจในหลากหลายภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่ ธุรกิจการสื่อสาร ไปจนถึง ธุรกิจการเงิน ทำให้ผู้เล่นดั้งเดิมต้องพยายามหาทางพัฒนานวัตกรรมให้ยังคงอยู่ในตลาดต่อไป ล่าสุด อุตสาหกรรมยานยนต์ก็กำลังถูกแปลงโฉมไปทีละน้อย และคาดว่าอีกไม่นานเราคงเห็นการเปลี่ยนแปลงด้านการคมนาคมด้วยคลื่นเทคโนโลยีลูกต่อไป
บทความนี้จะพาไปดู 4 เทรนด์เทคโนโลยี ที่กำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ ในช่วงปี 2018 และคาดว่าจะมีผลกระทบต่อรูปแบบการเดินทางในอนาคต
ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติถือเป็นนวัตกรรมที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในช่วงสิบปีที่ผ่านมา และยังคงเป็นเทรนด์อันดับหนึ่งที่คาดว่าจะพลิกรูปแบบการเดินทางและอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไปอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ในช่วงสองสามปีที่จะถึง เราอาจจะยังไม่เห็นรถไร้คนขับจริงๆ แต่แน่นอนว่าเรากำลังอยู่ในช่วงพัฒนาเพื่อไปถึงจุดนั้น
ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ต่างโฟกัสไปที่การพัฒนารถไร้คนขับแบบเต็มรูปแบบสำหรับอนาคต อีกทั้งรถยนต์ในปัจจุบันก็เริ่มมีระบบผู้ช่วยคนขับ หรือ ADAS (Advanced Driver Assistance Systems) แล้ว
การพัฒนาแบบก้าวกระโดดของเทคโนโลยี 5G และ AI ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าเราจะได้เห็นรถไร้คนขับ วิ่งออกสู่ถนนจริงๆ ภายในปี 2020
ความท้าทายของรถไร้คนขับ นอกเหนือจากด้านเทคโนโลยีแล้ว การสร้างความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีใหม่ก็ต้องใช้เวลามากพอสมควร ทั้งหน่วยงานกำกับดูแลและผู้บริโภคต้องการเวลาปรับตัวกับแนวคิดเรื่องรถยนต์ไร้คนขับ แม้ว่าความจริงแล้วรถไร้คนขับอาจจะปลอดภัยกว่ารถที่มีคนขับก็ตาม อีกทั้งกฎข้อบังคับเกี่ยวกับรถขับเคลื่อนอัตโนมัติก็ยังไม่ชัดเจน รวมถึงการทดสอบยังถูกจำกัดแค่เฉพาะในพื้นที่ทดสอบเท่านั้น
ดังนั้น ปีนี้เราจึงเห็นบริษัทรถยนต์แข่งกันพัฒนาระบบรถยนต์ไร้คนขับแบบครบวงจรมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการบีบให้หน่วยงานกำกับดูแลต้องเข้ามาดูและออกกฎหมายให้ได้มาตรฐานเร็วขึ้นด้วย
เทรนด์รถพลังงานไฟฟ้ายังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหากย้อนกลับไปช่วงปี 2017 จะเห็นว่าตอนที่ประเทศจีนและยุโรปพยายามลดมลพิษในอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้ส่งผลให้ยอดขายรถพลังงานไฟฟ้าทั่วโลกกระโดดขึ้นสูงถึง 63% เลยทีเดียว
Mary Gustanski รองประธานกรรมการบริษัท Delphi กล่าวว่า “รถพลังงานไฟฟ้าจะถูกควบรวมกับรถไร้คนขับและรถ connected car ที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้” เหตุเพราะรถพลังงานไฟฟ้า ง่ายต่อการควบคุมโดยระบบไร้คนขับมากกว่า
นอกจากนี้ ผู้คนจะเริ่มหันมาใช้รถพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น เนื่องจากแบตเตอรี่รถมีราคาถูกลงและ รถ EV ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในหลายประเทศ อีกทั้งบริษัทผลิตรถยนต์หลายรายก็ได้ประกาศเพิ่มกำลังการผลิตรถพลังงานไฟฟ้ามากขึ้นในปี 2018
เรามักคุ้นเคยกับการนำ Blockchain มาใช้ในธุรกิจ FinTech แต่รู้หรือไม่ว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์ได้นำ Blockchain มาใช้เพิ่มความเชื่อมั่นในระบบ supply chain ให้มีความโปร่งใส และ ช่วยพัฒนาระบบ Connected car ด้วย ซึ่งความเชื่อมั่นนี้จะส่งผลต่อการตั้งราคารถของบริษัทผลิตรถยนต์และธุรกิจซ่อมรถในอนาคต
ข้อมูล Big data สามารถนำมาใช้ทำนายและวิเคราะห์สภาพรถยนต์และแจ้งเตือนล่วงหน้าได้หากมีอะไรที่กำลังจะเสียหรือถึงเวลาซ่อมแซม นอกจากนี้ ระบบเซ็นเซอร์ และระบบ wireless V2V ที่สื่อสารผ่าน IoT คืออุปกรณ์สำคัญสำหรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ทุกๆ ข้อมูลที่บันทึกไว้ผ่านอุปกรณ์เหล่านี้จะกลายเป็นแหล่งทำเงินชั้นดีของบริษัทผลิตรถยนต์
เมื่อระบบสื่อสาร V2V รวมเข้ากับ Big Data และ AI อาจทำให้เกิดนวัตกรรมและบริการที่หลากหลายมากขึ้น มีระบบการจราจรที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงผลักดันให้มีนโยบายการประกันที่สามารถกำหนดเองได้ด้วย
กล่าวโดยสรุป ปี 2018 ถือเป็นปีที่น่าตื่นเต้นสำหรับวงการยานยนต์ หลายเทรนด์ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2017 เริ่มมีพัฒนาการร่วมกับนวัตกรรมใหม่ๆ พร้อมเปิดโอกาสสู่การเดินทางในอนาคตที่อาจแก้ปัญหาการจราจรแบบเดิมได้
อ่านบทความเพิ่มเติม งานวิจัยจาก Allianz และ MIT เผย ยานพาหนะไร้คนขับอาจช่วยลดปัญหาการจราจรและที่จอดรถได้ถึง 70%
อ้างอิงเนื้อหา INTLAND
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด