ในวันที่โลกหมุนเร็วขึ้นกว่าที่เคย งาน Accenture Life Trends 2025: Unveiling Global Trends that Shape Thai Consumer Behavior ที่จัดขึ้น ณ SCBX NEXT TECH สยามพารากอน เมื่อวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา กลายเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนไอเดียและมุมมองใหม่ๆ ว่าด้วย 5 เทรนด์สำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงโลก
คุณแม็ค สุนาถ ธนสารอักษร, Managing Director จาก Accenture Song ได้เปิดเวทีด้วยคำถามที่น่าสนใจว่า "ในวันที่โลกเต็มไปด้วยความผันผวน ความเชื่อมั่นของเรากำลังถูกท้าทายหรือไม่?" งานนี้ยังได้เสียงสะท้อนจากผู้เชี่ยวชาญมากมาย อาทิ
5 เทรนด์ที่ว่าไม่ใช่แค่เรื่องไกลตัว แต่สะท้อนถึงพฤติกรรมที่เราเจอทุกวัน เช่น ความลังเลในโลกออนไลน์, การเปลี่ยนแปลงวิธีเลี้ยงลูกยุคดิจิทัล, หรือแม้กระทั่งความเบื่อหน่ายที่ผู้คนมีต่อโซเชียลมีเดีย บทความนี้จะพาคุณเจาะลึก 5 เทรนด์สำคัญที่ว่าด้วยโลกที่เปลี่ยนไป และโอกาสที่เราสามารถหยิบมาใช้ได้ในปี 2025
ในทุกๆ ปี Accenture จะทำการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลก และสรุปออกมาเป็นรายงาน Accenture Life Trends ซึ่งสิ่งที่ทาง Accenture Song เห็นในปีนี้คุณแม็คเผยว่ามันคือ การที่ความเชื่อมั่นของผู้คนกำลังถูกท้าทาย ความไว้วางใจที่เคยมีต่อโลกดิจิทัล, ธุรกิจ, และแม้แต่การทำงาน กำลังสั่นคลอน เทรนด์ที่เราพบในปี 2025 ไม่ได้เกี่ยวแค่เทคโนโลยีใหม่ๆ เท่านั้น แต่มันสะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนที่เปลี่ยนไป
Accenture ได้ทำการสำรวจพฤติกรรมของผู้บริโภคกว่า 24,295 คน ใน 50 ประเทศทั่วโลก ซึ่งพบว่าเทรนด์สำคัญ 5 อย่างต่อไปนี้ จะกำหนดทิศทางของโลก ได้แก่
ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลปลอมและเทคโนโลยี Deepfake ผู้คนเริ่มตั้งคำถามว่า "อะไรคือเรื่องจริง?" ความลังเลกลายเป็นปัญหาใหญ่ของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล เพราะทุกการตัดสินใจอาจพลาดได้ เช่น การเจอเพจโรงแรมปลอมที่ดูน่าเชื่อถือจนยากจะปฏิเสธ แต่กลับโกงเงิน หรือ AI ที่ปลอมเสียงและหน้าตาคนรู้จักเพื่อหลอกลวง
เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ผู้คนต้องระมัดระวังและใช้เวลานานขึ้นในการเลือกซื้อสินค้าและบริการ ในขณะที่ธุรกิจที่ไม่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ต้องสูญเสียลูกค้าไป มันจึงถูกเรียกว่า > ต้นทุนของความลังเล (Cost of Hesitation)
แนวทางแก้ไขคือการสร้างระบบที่ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจ เช่น การใช้ Blockchain หรือ QR Code เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง รวมถึงการสร้าง “Trust Mark” ที่เป็นเหมือนตราประทับรับรองความน่าเชื่อถือในโลกออนไลน์
ในยุคดิจิทัล พ่อแม่ต้องเผชิญความท้าทายใหม่ๆ ในการเลี้ยงดูลูก เทคโนโลยีช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้เร็วขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยอันตราย เช่น Cyberbullying เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม และมาตรฐานความงามที่บิดเบือน งานวิจัยในอังกฤษชี้ว่าเด็กวัยรุ่นกว่า 50% เคยได้รับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมทางออนไลน์ พ่อแม่หลายคนจึงลังเลว่าจะให้ลูกเข้าถึงเทคโนโลยีมากแค่ไหนถึงจะปลอดภัย
บางประเทศเริ่มออกกฎหมายควบคุม เช่น ในอังกฤษที่ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปีใช้สมาร์ทโฟน วิธีแก้ปัญหาในมุมของพ่อแม่คือการกำหนดขอบเขตการใช้งานของลูก ในขณะเดียวกันแบรนด์ควรสร้างผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก
ยุคนี้คนไม่อยากรอ ทุกอย่างต้องเร็วและได้ผลทันที เช่น การกินอาหารเสริมแทนการออกกำลังกาย หรือการหางานพิเศษที่ช่วยเพิ่มรายได้แบบรวดเร็ว ความต้องการสำเร็จไวนี้สะท้อนถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
ผลกระทบของเทรนด์นี้คือ บริการหรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้เวลานานจะได้รับความนิยมลดลง เพราะผู้คนต้องการประสบการณ์ที่สะดวกและตอบโจทย์ทันที
ดังนั้น ธุรกิจจึงต้องปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมนี้ เช่น การใช้ Chatbot เพื่อให้บริการลูกค้าแบบทันที หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค
เมื่อ AI และเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทแทนที่แรงงานมนุษย์ในหลายด้าน คนทำงานเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาทำอาจไม่มีคุณค่าเหมือนเดิม ความผูกพันระหว่างพนักงานกับองค์กรก็ลดลง งานวิจัยพบว่าพนักงานกว่า 53% เลือกที่จะไม่เข้าร่วมกิจกรรมบริษัท เช่น งานเลี้ยงปีใหม่ เพราะพวกเขารู้สึกว่า "ความสัมพันธ์" ในที่ทำงานจางลง โดยเฉพาะในยุคที่ Work from Home กลายเป็นเรื่องปกติ
ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจาก AI เพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากการที่องค์กรไม่ได้ใส่ใจสร้างความหมายในงานของพนักงาน หรือไม่ได้แสดงให้พนักงานรู้สึกว่า "พวกเขาสำคัญ"
สิ่งที่องค์กรควรทำคือ ใช้ AI เป็น "เครื่องมือช่วยงาน" แทนที่จะใช้มันแทนที่มนุษย์ทั้งหมด และต้องออกแบบงานที่ให้พนักงานรู้สึกว่า สิ่งที่พวกเขาทำมีความหมาย เช่น การให้พวกเขามีอิสระในการตัดสินใจ และสร้างเป้าหมายที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งตัวพนักงานและองค์กร
ในโลกที่เต็มไปด้วยความเร็วของโซเชียลมีเดียและโฆษณาที่รุกล้ำทุกพื้นที่ ผู้คนเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายและความปลอมที่แฝงอยู่ในโลกออนไลน์ หลายคนหันไปแสวงหาชีวิตที่ “ช้าลง” และ “จับต้องได้” มากขึ้น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการกลับมาใช้แผ่นเสียงแทนการฟังเพลงสตรีมมิ่ง การหยิบกล้องฟิล์มมาถ่ายภาพแทนกล้องดิจิทัล หรือแม้แต่การออกไปเดินป่า ตั้งแคมป์ และใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติ
พฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนความต้องการที่ลึกซึ้งของผู้คนในการเชื่อมต่อกับโลกจริงที่เต็มไปด้วยรายละเอียดและความรู้สึกแบบที่ดิจิทัลไม่สามารถมอบให้ได้
ในแง่ของธุรกิจ แบรนด์ที่สามารถสร้างประสบการณ์ออฟไลน์ เช่น Pop-up Store ที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตธรรมชาติ หรือกิจกรรมที่ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คน จะได้รับความสนใจมากขึ้น นี่ไม่ใช่แค่เรื่องการขายสินค้า แต่เป็นการสร้าง "ประสบการณ์ที่มีความหมาย" และตอบสนองความต้องการของคนยุคใหม่ที่โหยหาสิ่งที่จับต้องได้และความเรียบง่ายที่แท้จริง
ข้อมูลจากงาน งาน Accenture Life Trends 2025: Unveiling Global Trends that Shape Thai Consumer Behavior
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด