ทุกวันนี้หลายคนคงคุ้นเคยกับการใช้ AI ไม่ว่าจะ ChatGPT หรือ Gemini ให้ช่วยสรุปงาน ตอบคำถาม หรือแปลภาษา ซึ่งทั้งหมดนี้คือความสามารถของ AI ประเภท LLMs (Large Language Models) แต่ความสามารถของ AI ไม่ได้หยุดอยู่แค่ "การตอบคำถาม" แต่เริ่ม คิด วางแผน และลงมือทำเอง ได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากมนุษย์ทุกขั้นตอน แนวคิดนี้ถูกเรียกว่า Agentic AI หรือ “AI ที่มีความเป็นเอเจนต์” หมายถึง AI ที่มีความสามารถในการ ตัดสินใจและลงมือทำงานเอง ได้ในระดับหนึ่งหรือหลายระดับ
Agentic AI คือ ระบบ AI ที่มีความสามารถในการตัดสินใจและลงมือทำสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเองอย่างมีอิสระ (autonomy) ซึ่งต่างจาก AI แบบเดิมที่มักจะทำหน้าที่เพียงตอบคำถามตามคำสั่งที่เราป้อนให้เท่านั้น โดย Agentic AI ไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียวหรือเก่งเท่ากันทั้งหมด แต่มันมี 'ระดับ' หรือขั้นของความสามารถที่แตกต่างกัน ตั้งแต่แบบที่ยังต้องอาศัยการป้อนคำสั่งจากมนุษย์ ไปจนถึงแบบที่สามารถทำงานได้เองโดยอัตโนมัติ
เริ่มกันที่ระดับแรกเป็นรูปแบบ AI ที่เราคุ้นเคยกันดีที่สุด นี่คือ AI ที่ทำงานแบบ ‘รับคำสั่ง-ให้คำตอบ’ โดยตรง เหมือนเป็นเครื่องมือที่รอรับคำสั่งจากเราเท่านั้น เมื่อเราสั่งอะไรไป มันก็จะตอบสนองหรือทำงานตามนั้นภายใต้กรอบที่เราวางไว้ทั้งหมด ตัวอย่างที่ชัดเจนคือโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่เราใช้กันทั่วไป เช่น ChatGPT, Gemini หรือ Claude ในการใช้งานปกติทั่วไป ในระดับนี้ มนุษย์เป็นคนคุมเกมทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ AI มีหน้าที่แค่รับคำสั่งและปฏิบัติตาม ไม่ได้มีความสามารถในการคิดหรือตัดสินใจใดๆ ด้วยตัวเอง การตัดสินใจสำคัญๆ ทั้งหมดจึงยังคงอยู่ที่ผู้ใช้งาน
ในระดับนี้ AI เริ่มมีความสามารถในการตัดสินใจเบื้องต้น โดยสามารถ “เลือกเส้นทางหรือฟังก์ชัน” จากตัวเลือกที่มนุษย์กำหนดไว้ล่วงหน้าได้ ลองนึกภาพการทำงานของ GPS ที่ถึงแม้จะไม่ได้ขับรถให้เรา แต่ก็ช่วยเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดจากตัวเลือกที่มี AI ในระดับนี้ก็เช่นกัน มนุษย์ยังคงเป็นผู้ออกแบบภาพรวมและกำหนดตัวเลือกต่างๆ แต่ AI จะเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะเลือกแนวทางไหน ทำให้ AI เริ่มมีส่วนร่วมในการเลือกวิธีการทำงานของตัวเองมากขึ้น
พอมาถึงระดับนี้ AI จะเก่งขึ้นไปอีกขั้น คือเริ่มเลือกใช้ 'เครื่องมือ' ต่างๆ ที่มนุษย์เตรียมไว้ให้ได้เอง เพื่อให้งานที่ซับซ้อนสำเร็จไปได้ AI นี้จะคิดเองเลยว่าเมื่อไหร่ควรใช้เครื่องมือตัวไหน และจะใช้อย่างไร เราแค่เตรียม 'กล่องเครื่องมือ' หรือชุดคำสั่งพิเศษๆ ไว้ให้มัน เช่น การดึงข้อมูลล่าสุดจากอินเทอร์เน็ต การเชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ ผ่าน API หรือการทำงานเฉพาะทางบางอย่าง AI ก็จะเลือกหยิบเครื่องมือในกล่องนั้นมาใช้ได้ถูกจังหวะและถูกงาน เหมือนเรามีช่างฝีมือดีที่รู้ว่างานแบบนี้ต้องใช้เครื่องมืออะไร ทำให้ AI ไม่ได้แค่ทำงานตามคำสั่ง แต่เริ่มมีบทบาทในการแก้ปัญหาและทำงานให้เสร็จได้คล่องแคล่วมากขึ้น
ระดับนี้จะแอดวานซ์ขึ้นมาอีก เปรียบเสมือนเรามีทีม AI ขนาดเล็กคอยช่วยงาน โดยจะมี AI ตัวหนึ่งทำหน้าที่เป็น 'ผู้จัดการโปรเจกต์' หรือ manager agent คอยประสานงานและสั่งการ AI ตัวอื่นๆ ที่เป็นเหมือนลูกทีม ซึ่งแต่ละตัวก็อาจจะมีหน้าที่และความถนัดแตกต่างกันไป ผู้จัดการ AI นี้จะคอยดูภาพรวม ตัดสินใจ และมอบหมายงานให้ AI ลูกทีมแต่ละตัวตามความเหมาะสม เพื่อให้โปรเจกต์ที่ซับซ้อนมากๆ สำเร็จลุล่วงได้
ในฐานะมนุษย์อาจจะยังเป็นคนออกแบบโครงสร้างของทีม AI นี้ กำหนดบทบาทของแต่ละตัว และเตรียมเครื่องมือที่จำเป็นไว้ให้ แต่ตัวผู้จัดการ AI จะเป็นคนคุมแผนงานและสั่งการลูกทีม AI ด้วยกันเอง ทำให้เหมือนมีทีมงาน AI ที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ โดยมี AI เป็นหัวหน้าทีม
นี่คือระดับสูงสุดของ Agentic AI ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็น AI ที่สามารถทำงานด้วยตัวเองแบบครบวงจรโดยสมบูรณ์ โดยไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งจากมนุษย์ในระหว่างกระบวนการทำงานอีกต่อไป ในระดับนี้ AI กลายเป็น “แรงงานอัตโนมัติ” (Automated Workforce) อย่างแท้จริง ไม่เพียงแค่ช่วยคิดหรือตอบคำถาม แต่สามารถลงมือปฏิบัติงานทั้งหมดได้ด้วยตนเอง ตั้งแต่การรับโจทย์ การเขียนโค้ด ทดลองรันโปรแกรม วิเคราะห์ผลลัพธ์ และหากพบปัญหาก็สามารถแก้ไขได้เองโดยไม่ต้องอาศัยการชี้แนะจากมนุษย์ เปรียบเสมือนวิศวกรหรือโปรแกรมเมอร์ AI ที่ทำงานได้อย่างครบถ้วนทุกขั้นตอน และยังเรียนรู้และพัฒนาจากผลลัพธ์การทำงานของตนเองที่ทำไว้ได้อีกด้วย
อ้างอิง: marktechpost
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด