AI Factory: อนาคตของ Data Center และการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคใหม่ของ AI สรุปจากงาน GTC 2025

ถ้าถามว่า อนาคตของ AI กำลังมุ่งไปทางไหน ? คำตอบของ Jensen Huang, CEO แห่ง NVIDIA อาจทำให้เรามองเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น โดยในงาน GTC2025 มีคีย์เวิร์ดที่ Huang เน้นย้ำนักหนานั่นคือ AI Factory ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แค่คำใหม่ในวงการเทคโนโลยี แต่เป็นแนวคิดที่กำลังเปลี่ยนวิธีที่โลกสร้างและใช้ AI

AI Factory คือ

จาก Data Center สู่ AI Factory ทำไมโลกต้องเปลี่ยน

AI Factory คืออะไร ?

ในอดีต Data Center เปรียบเสมือนห้องสมุดขนาดยักษ์ที่คอยเก็บและประมวลผลข้อมูลเมื่อจำเป็น แต่ในวันนี้ มันกำลังก้าวไปอีกขั้นกลายเป็น AI Factory โรงงานที่ไม่ได้แค่จัดเก็บข้อมูล แต่สามารถผลิตปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้อย่างต่อเนื่อง

ถ้าลองนึกถึงกระบวนการทำงานของโรงงานทั่วไป ความจริงแล้ว AI Factory ก็ทำงานในลักษณะเดียวกัน แต่แทนที่จะใช้เหล็กหรือเครื่องยนต์ วัตถุดิบของมันคือข้อมูล และเครื่องมือในการสร้างคือ GPU และอัลกอริธึม AI ผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ไม่ใช่สินค้าแบบจับต้องได้แต่เป็น โมเดล AI ที่สามารถเรียนรู้ วิเคราะห์ และตัดสินใจแทนมนุษย์

โดยสิ่งที่ AI Factory ต่างจากโรงงานทั่วไปที่ผลิตสินค้าแล้วจบกระบวนการ AI Factory ไม่เคยหยุดเรียนรู้ ข้อมูลใหม่ๆ ที่ไหลเข้ามาจะถูกนำไปใช้ปรับปรุงโมเดล AI ให้แม่นยำขึ้น คล้ายกับ โรงงานที่สามารถอัปเกรดสายการผลิตได้เองแบบอัตโนมัติ

โดยถ้าให้สรุปง่ายๆ AI Factory คือ Data Center ยุคใหม่ที่ไม่ได้มีไว้แค่เก็บข้อมูลหรือประมวลผลทั่วไป แต่เป็นศูนย์กลางในการสร้างความรู้ใหม่ขึ้นมาเองได้ตลอดเวลา ตั้งแต่การฝึกโมเดลไปจนถึงการใช้งานจริง จึงสามารถช่วยให้องค์กรต่างๆ ใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกลายเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจและเทคโนโลยีในอนาคต

์Nvidia AI Factory

ทำไมโลกต้องมี AI Factory ?

1. AI กำลังฉลาดขึ้น และต้องการพลังประมวลผลมหาศาล

ในอดีต AI ทำได้เพียงเรียนรู้จากข้อมูลที่มีอยู่และทำตามคำสั่งที่ได้รับ แต่ปัจจุบัน AI ได้พัฒนาสู่ระดับที่เรียกว่า Agentic AI ซึ่งสามารถ คิดเป็นเหตุเป็นผล วางแผน และเรียนรู้จากประสบการณ์ได้เอง และในอนาคต AI กำลังจะก้าวไปสู่ Physical AI ที่เข้าใจและโต้ตอบกับโลกทางกายภาพได้เหมือนมนุษย์

ตัวอย่างเช่น

  • Pretraining Scaling: การฝึก AI ให้ฉลาดขึ้นต้องใช้พลังประมวลผลเพิ่มขึ้น 50 ล้านเท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • Post-training Scaling: การนำ AI ไปใช้จริงต้องใช้พลังประมวลผลมากกว่าขั้นตอนการฝึกถึง 30 เท่า
  • Test-time Scaling (Long Thinking): AI ที่มีความสามารถคิดเชิงตรรกะและทดลองแนวทางต่างๆ ใช้พลังประมวลผลมากกว่าการใช้งานทั่วไป

ซึ่งทั้งหมดนี้อาจต้องอาศัยพลังประมวลผลที่มหาศาลกว่าที่เคยมีมามากถึง 100 เท่า และศูนย์ข้อมูลแบบเดิมที่เคยใช้เก็บและประมวลผลข้อมูลจึงไม่สามารถรองรับความต้องการของ AI ยุคใหม่ได้อีกต่อไป นี่คือเหตุผลที่ AI Factory กลายเป็นสิ่งจำเป็น เพราะมันถูกออกแบบมาให้รองรับการทำงานของ AI โดยเฉพาะ

2. AI Factory ทำให้ AI สามารถเรียนรู้ได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์ตลอดเวลา

ในอดีต AI ต้องพึ่งพาข้อมูลที่มนุษย์ป้อนให้ เช่น บทความ ภาพถ่าย หรือเสียงพูด แต่เมื่อ AI ต้องการข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ การให้มนุษย์ป้อนข้อมูลทุกอย่างจึงเป็นไปไม่ได้ AI จึงต้องสามารถ สร้างข้อมูลเอง และเรียนรู้ได้เอง ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Reinforcement Learning

ยกตัวอย่างเช่น  AI กำลังเรียนรู้การเล่นหมากรุก แทนที่จะต้องดูมนุษย์เล่น มันสามารถทดลองเล่นเองนับล้านๆ ครั้ง เพื่อค้นหากลยุทธ์ที่ดีที่สุด AI Factory คือ สถานที่ที่ทำให้ AI สามารถทดลอง เรียนรู้ และพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์

3. โลกของการประมวลผลกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA กล่าวในงาน GTC 2025 ว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ แต่เป็นการพลิกโฉมวิธีที่คอมพิวเตอร์ทำงานมาตลอดหลายสิบปี

ในอดีต คอมพิวเตอร์ทำงานในรูปแบบที่เรียกว่า ดึงข้อมูล (Retrieval Computing) หากเราต้องการข้อมูลอะไรสักอย่าง ระบบจะค้นหาสิ่งที่ถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลแล้วนำมาแสดงให้เราเห็น นี่คือระบบที่เราใช้กันมาหลายสิบปี

แต่ปัจจุบัน AI ไม่ได้แค่ค้นหาข้อมูลที่มีอยู่ แต่มันสามารถ "สร้างข้อมูลใหม่ขึ้นมาเอง" นี่คือแนวคิดของ Generative AI ซึ่งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของการประมวลผลทั้งหมด

AI ตอนนี้ไม่ใช่แค่เครื่องมือช่วยเหลือมนุษย์อีกต่อไป แต่มันกำลังกลายเป็นระบบที่สามารถคิด วิเคราะห์ และสร้างเนื้อหาใหม่ได้เอง ไม่ว่าจะเป็น ภาพ วิดีโอ ข้อความ หรือแม้แต่โปรตีนและสารเคมี ทุกอย่างสามารถถูกสร้างขึ้นใหม่โดย AI

แต่ความท้าทายที่เกิดขึ้นคือ AI ที่สามารถคิดและสร้างสรรค์ได้แบบนี้ต้องใช้พลังประมวลผลมากขึ้นอย่างมหาศาล ศูนย์ข้อมูลแบบเดิมจึงไม่สามารถรองรับความต้องการของ AI ยุคใหม่นี้ได้อีกต่อไป ทำให้เราจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับและพัฒนา AI โดยเฉพาะ ซึ่งนั่นก็คือ AI Factory

โครงสร้างเบื้องหลัง AI Factory ทำงานอย่างไร ?

AI Factory ไม่ใช่แค่ฮาร์ดแวร์ทรงพลัง แต่มันคือระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายอัจฉริยะ ซึ่งทำให้ AI สามารถพัฒนาและทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งประกอบด้วย

1. Data Pipeline – ระบบจัดการข้อมูลอัจฉริยะ

ข้อมูลคือเชื้อเพลิงของ AI และ Data Pipeline เป็นกระบวนการสำคัญที่ทำให้ข้อมูลพร้อมใช้งาน โดยการทำงานของ Data Pipeline มีดังนี้

  1. รวบรวมข้อมูล จากแหล่งต่างๆ เช่น IoT, ระบบคลาวด์, โซเชียลมีเดีย หรือเซ็นเซอร์ต่างๆ
  2. คลีนข้อมูล เพื่อกรองสิ่งที่ไม่จำเป็นออก และแก้ไขข้อผิดพลาดในชุดข้อมูล
  3. รวมและเปลี่ยนแปลงข้อมูล ให้ AI นำไปใช้งานได้ง่ายและแม่นยำที่สุด

2. Algorithm Development – สร้างอัลกอริทึมให้ AI ฉลาดขึ้น

AI ไม่ได้ทำงานแบบสุ่ม แต่มันอาศัย อัลกอริทึมที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล ทำนายแนวโน้ม และตัดสินใจอย่างแม่นยำ ซึ่งการพัฒนาอัลกอริทึมใน AI Factory ประกอบด้วย

  1. การระบุฟีเจอร์สำคัญ (Feature Engineering) เพื่อให้ AI เข้าใจข้อมูลที่ได้รับ
  2. การทำนายผลลัพธ์ล่วงหน้า (Forecasting) เช่น การคาดการณ์ยอดขาย หรือพฤติกรรมผู้ใช้
  3. การพัฒนาระบบตัดสินใจ (Decision Making) เพื่อให้ AI คิดและดำเนินการอย่างแม่นยำ

AI Factory ใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น Deep Learning และ Reinforcement Learning เพื่อฝึก AI ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

3. Experimentation Platform – ทดสอบและพัฒนา AI อย่างต่อเนื่อง

AI Factory ไม่ใช่แค่สร้าง AI แต่ต้องมีแพลตฟอร์มสำหรับทดสอบและพัฒนา AI อย่างต่อเนื่อง โดย Experimentation Platform ช่วยให้…

  1. ทดสอบอัลกอริทึมด้วย การทดลองแบบ A/B Testing เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของโมเดล
  2. จำลองสถานการณ์จริง (Real-world Simulation) เพื่อดูว่า AI ทำงานได้ดีแค่ไหนในโลกแห่งความเป็นจริง
  3. ปรับแต่งโมเดล แบบรวดเร็วและต่อเนื่อง ช่วยให้ AI เรียนรู้และพัฒนาได้ไวขึ้น

แพลตฟอร์มนี้จึงช่วยให้ AI สามารถเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและปรับปรุงตัวเองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ AI ยุคใหม่ที่ต้องสามารถพัฒนาไปพร้อมกับข้อมูลและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

4. AI Infrastructure – ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่รองรับ AI ระดับโลก

AI Factory ต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการประมวลผลระดับสูง ไม่ใช่แค่มีเซิร์ฟเวอร์จำนวนมาก แต่ต้องเป็นระบบที่ถูกออกแบบมาให้รองรับ AI Workloads โดยเฉพาะ ดังนั้น AI Infrastructure จึงต้องประกอบด้วย

  1. ฮาร์ดแวร์ระดับสูง เช่น GPU (Graphics Processing Unit), CPU (Central Processing Unit), ASIC (Application-Specific Integrated Circuit)
  2. เครือข่ายความเร็วสูง และ ระบบจัดเก็บข้อมูลที่สามารถขยายตัวได้
  3. ระบบระบายความร้อนขั้นสูง เพื่อรองรับพลังงานการประมวลผลที่สูงขึ้น
  4. ซอฟต์แวร์แบบ Modular และ API-driven ที่สามารถเชื่อมต่อทุกระบบได้อย่างราบรื่น

เนื่องจาก AI Factory ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับ AI แค่ในปัจจุบัน แต่ต้องสามารถขยายตัวและอัปเกรดได้ เพื่อรองรับเทคโนโลยี AI ที่กำลังเติบโตในอนาคต

5. Automation Tools – ลดการพึ่งพามนุษย์ เพิ่มความเร็วให้ AI

AI Factory จะไม่มีประสิทธิภาพหากทุกอย่างต้องอาศัยมนุษย์มาจัดการ ระบบ Automation Tools จึงเข้ามาช่วยลดงานที่ต้องทำด้วยมือ และทำให้ทุกกระบวนการทำงานได้แบบอัตโนมัติ อาทิ

  1. ปรับแต่งพารามิเตอร์ของโมเดล AI (Hyperparameter Tuning) ให้ทำงานได้ดีที่สุด
  2. จัดการ Workflow การพัฒนา AI ตั้งแต่ฝึกโมเดลไปจนถึงนำไปใช้งานจริง
  3. อัปเดตและปรับปรุงโมเดล AI อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องหยุดระบบ

AI Factory กับบทบาทในอุตสาหกรรมต่างๆ

ความสามารถของ AI Factory ในการประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ ฝึก AI ให้ฉลาดขึ้น และปรับปรุงการทำงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันถูกนำมาใช้ในหลายภาคส่วนที่ต้องการ AI ขั้นสูง

  • ในอุตสาหกรรมยานยนต์ AI Factory มีบทบาทสำคัญในการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับและหุ่นยนต์อัตโนมัติ ระบบเหล่านี้ต้องการพลังประมวลผลสูงและการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น AI Factory ช่วยให้การพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติและหุ่นยนต์มีความปลอดภัยและเสถียรมากขึ้น นอกจากนี้ AI ยังช่วยปรับปรุงกระบวนการผลิตด้วยระบบอัตโนมัติ ลดต้นทุนและเวลาในการผลิต
  • ในวงการแพทย์ AI Factory ถูกใช้ในการวิจัยยาและพัฒนาแนวทางการรักษาเฉพาะบุคคล AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อค้นหาสารประกอบใหม่ที่สามารถพัฒนาเป็นยา และช่วยแพทย์ออกแบบแผนการรักษาที่เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย วิธีนี้ช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดค่าใช้จ่าย และเร่งกระบวนการวิจัย
  • ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม AI Factory ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายและพัฒนาระบบบริการลูกค้า ตัวอย่างเช่น บริษัท Telenor ในนอร์เวย์ ได้เปิดตัว AI Factory เพื่อเร่งการใช้ AI ภายในองค์กร ช่วยปรับปรุงเครือข่าย ลดเวลาขัดข้อง และทำให้การบริการลูกค้าเป็นไปอย่างชาญฉลาดขึ้นด้วย AI ที่สามารถโต้ตอบและแก้ไขปัญหาได้เอง

AI Factory กำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของโลกธุรกิจยุคใหม่ เพราะมันช่วยให้ AI ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ขับเคลื่อนนวัตกรรม และสร้างโอกาสใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมที่ต้องการ AI ขั้นสูง

อ้างอิง: ข้อมูลสดจากงาน GTC 2025, blogs.nvidia, nvidia

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

รู้จัก GR00T N1 จาก Nvidia โมเดลพื้นฐานฮิวแมนนอยด์ ก้าวสำคัญสู่อนาคตหุ่นยนต์เข้าใจมนุษย์

ในงาน GTC25 NVIDIA เปิดตัว Isaac GR00T N1 โมเดลพื้นฐานแบบเปิด ที่ออกแบบมาเพื่อเป็น "สมอง" ของหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์โดยเฉพาะ นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ปลดล็อกศักยภาพของหุ่นยนต์ให้ฉลาด คล...

Responsive image

Open Data ทำไมไทยถึงต้องมีข้อมูลเปิดอย่างโปร่งใส ? สัมภาษณ์พิเศษคุณชลิต รัษฐปานะ กรรมการประกันสังคม

ประเด็นเรื่องความโปร่งใสในการดำเนินงานของสำนักงานประกันสังคม ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง ผ่านมุมมองของคุณชลิต รัษฐปานะ กรรมการประกันสังคม ฝ่ายผู้ประกันตน (ทีมประกันสังคมก้าวหน้า) คณะกร...

Responsive image

ERNIE X1 คืออะไร ? โมเดล AI ที่ออกมาเพื่อโค่น DeepSeek R1

เปรียบเทียบ ERNIE X1 กับ GPT-4.5 ใครเหนือกว่า? วิเคราะห์ความสามารถ AI เชิงตรรกะที่แข่งขันกับ OpenAI และ DeepSeek...