ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูล วินิจฉัยโรค ช่วยคิดสร้างสรรค์งานประชาสัมพันธ์ หรือแม้กระทั่งช่วยตัดสินใจในธุรกิจ เรามักคิดว่า AI จะให้คำตอบที่แม่นยำเสมอ แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น AI สามารถ “หลอน-hallucination" หรือสร้างข้อมูลที่ผิดพลาดได้ เช่นเดียวกับมนุษย์ที่มักมีอคติและความจำที่บิดเบี้ยว Geoffrey Hinton ผู้ได้รับฉายาว่า "บิดาแห่งปัญญาประดิษฐ์" ได้เตือนถึงข้อจำกัดของ AI ในการปาฐกถาที่ Vector Institute ในปี 2023 โดยระบุว่า "AI สามารถสร้างข้อมูลที่ดูน่าเชื่อถือแต่ไม่เป็นความจริงได้" ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายที่เราต้องเผชิญ
บทความนี้จะสำรวจว่า AI และมนุษย์สามารถให้ข้อมูลผิดพลาดได้อย่างไร ความรับผิดชอบ ควรตกอยู่ที่ใคร และเราจะรับมือกับปัญหานี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะในบริบทของประเทศไทย และขอลองเสนอแนวทางรับมือกับความท้าทายนี้
ปัญหาภาพหลอนของ AI (AI Hallucinations) เกิดขึ้นเมื่อระบบ AI เช่น ChatGPT, Claude, Gemini และตัวอื่นๆ สร้างข้อมูลที่ฟังดูสมเหตุสมผลแต่เป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง ปัญหานี้เกิดจาก โครงสร้างพื้นฐานของ AI เอง เนื่องจาก AI ไม่ได้เข้าใจความหมายของข้อมูล มันเพียงแค่ คาดการณ์ลำดับของคำที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด ตามข้อมูลที่ได้รับการฝึก AI โดยเฉพาะโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models: LLMs) เช่น ChatGPT ทำงานโดยคาดเดาคำถัดไปจากข้อมูลที่ถูกฝึกมา ไม่ใช่การ "เข้าใจ" อย่างแท้จริง จึงอาจสร้างข้อความที่ดูสมเหตุสมผลแต่ไม่เป็นความจริงได้ เราเรียกสิ่งนี้ว่า "AI Hallucination" หรือ "ภาพหลอนของ AI"
Steven Schwartz ทนายความชาวอเมริกัน ใช้ ChatGPT หาข้อมูลคดีในศาล แต่ AI สร้างคดีปลอมถึง 6 คดีที่ไม่มีอยู่ในฐานข้อมูลกฎหมาย ส่งผลให้เกิดข้อผิดพลาดร้ายแรงต่อกระบวนการยุติธรรม ส่งผลให้เขาถูกศาลลงโทษ (The New York Times, 2023)
จีนออกกฎหมายควบคุม AI สร้างเนื้อหา กำหนดให้แพลตฟอร์มติดป้ายกำกับ "เนื้อหาสร้างโดย AI" และตรวจสอบความถูกต้องก่อนเผยแพร่ เพื่อลดผลกระทบจาก AI หลอนในข่าวปลอม (Cyberspace Administration of China, 2023)
กฎหมาย Deep Synthesis (2023) จีนออกกฎหมายควบคุม AI สร้างเนื้อหา กำหนดให้แพลตฟอร์มติดป้ายกำกับ "เนื้อหาสร้างโดย AI" และตรวจสอบความถูกต้องก่อนเผยแพร่ เพื่อลดผลกระทบจาก AI หลอนในข่าวปลอม (Cyberspace Administration of China, 2023)
ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีอย่าง Retrieval-Augmented Generation (RAG) ซึ่งช่วยให้ AI ดึงข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดข้อผิดพลาดได้ทั้งหมด เนื่องจากข้อมูล ฝึกสอนอาจล้าสมัยหรือไม่ครบถ้วน ทำให้ AI ยังมีข้อจำกัดและไม่สามารถป้องกันข้อผิดพลาดได้ 100%
มนุษย์เองก็มี "ภาพหลอน" ในรูปแบบของอคติทางปัญญา (Cognitive Bias) และความจำที่ผิดพลาด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานตามธรรมชาติของสมอง หลอนเพราะป่วย ความเชื่ออคติ มายาคติ หรือหลอนตามกระแสสังคม
AI สร้างข้อมูลผิดพลาดเพราะมันไม่มีความเข้าใจที่แท้จริง มนุษย์สร้างข้อมูลผิดพลาดเพราะเราคิดว่า “เราจำได้ถูกต้อง" กระแสสังคมสร้างภาพหลอน เพราะคนหมู่มากกระจายข่าวสารที่ไม่จริงพร้อมๆกัน
ในประเทศไทย การใช้ AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และเมื่อผสมกับความเชื่อของมนุษย์ อาจเกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
สังคมเข้มแข็ง: ปลูกภูมิคุ้มกันผ่านการศึกษา
ปรัชญาหลัก: สังคมที่แข็งแกร่งต้องเริ่มจากปัจเจกที่รู้เท่าทัน การปรับเปลี่ยนจากวัฒนธรรม "เชื่อเพราะผู้ใหญ่บอก" สู่การ "เชื่อเพราะตรวจสอบแล้ว" คือก้าวแรกที่จำเป็น
ยุทธวิธีเชิงรุก:
ความร่วมมือ: พลังเครือข่ายข้ามพรมแดน
ปรัชญาหลัก: "สามัคคี" ในยุคดิจิทัลต้องขยายขอบเขตเกินกรอบประเทศ ข้อมูลเท็จไร้พรมแดน การป้องกันก็ต้องไร้พรมแดนเช่นกัน
ยุทธวิธีเชิงรุก:
เมื่อเผชิญภัยร่วมกัน การร่วมมือไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน วัฒนธรรมการร่วมมือแบบตะวันออกจึงเป็นจุดแข็งในยุคดิจิทัล
นโยบายความสมดุล: ดุลยภาพระหว่างนวัตกรรมกับความปลอดภัย
ปรัชญาหลัก: หลักหยิน-หยางสอนว่าความขัดแย้งสร้างดุลยภาพ เช่นเดียวกับการกำกับ AI ต้องสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมกับการปกป้องสังคม
ยุทธวิธีเชิงรุก:
ความก้าวหน้าและความปลอดภัยไม่จำเป็นต้องเป็นคู่ตรงข้าม การสร้างสมดุลอย่างชาญฉลาด คือกุญแจสู่การพัฒนา AI ที่ยั่งยืน
แนวคิดนี้ผสมผสาน "ความเป็นไทย" ที่เน้นความยืดหยุ่น แต่ต้องเพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยให้สังคมรับมือกับยุคที่ทั้งมนุษย์และ AI ต่างก็หลอนได้อย่างเป็นองค์รวม
ทั้ง AI และมนุษย์มี "ภาพหลอน" ในแบบของตัวเอง ในประเทศไทยที่เทคโนโลยีและความเชื่อผสมผสานกัน เราต้องระวังเป็นพิเศษ พระพุทธวจนะที่ว่า "อย่าเชื่อเพียงเพราะได้ยินมา แม้แต่คำสอนของเรา ก็ต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง" สะท้อนภูมิปัญญาที่ทันสมัยอย่างน่าประหลาดในยุค AI และข่าวปลอมภูมิปัญญาตะวันออกสอนให้เราไม่เพียงมุ่งสู่เทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ให้ฝึกฝนปัญญาแท้จริงที่สามารถแยกแยะความจริงจากภาพลวงตา ในยุคที่ AI และมนุษย์ต่างสร้างภาพหลอน บทเรียนนี้สำคัญยิ่งกว่าที่เคย
การ "เชื่อ แต่ต้องตรวจสอบ Trust but Verify" จึงไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่เป็นปัญญาที่มีมาแต่โบราณกาล และยิ่งทวีความสำคัญในยุคปัญญาประดิษฐ์ ไม่ว่าเราจะใช้ AI ในงานสาธารณสุข การเกษตร ธุรกิจ การตลาด หรือรับข้อมูลข่าวสาร จงใช้เหตุผลและการตรวจสอบเป็นเกราะป้องกัน เพราะในยุคที่ข้อมูลล้นหลาม ความจริงคือสิ่งที่เราต้องปกป้อง
การผสานเทคโนโลยีกับภูมิปัญญา ไม่เพียงเป็นทางออกสำหรับปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นยุทธศาสตร์การอยู่รอดในศตวรรษที่ 21 สำหรับสังคมตะวันออกที่กำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง
คุณสุภาวดี ตันติยานนท์ นักการตลาดและนักคิดเชิงอนาคต (Futurist) ที่มีประสบการณ์การทำงานในระดับภูมิภาคและระดับโลก
เธอมุ่งเน้นการผสานนวัตกรรมดิจิทัลเข้ากับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วยความหลงใหลในเทคโนโลยี การตลาด และการศึกษาด้านปรัชญาและประวัติศาสตร์
คุณสุภาวดีวิเคราะห์แนวโน้มโลกเพื่อช่วยองค์กรและสังคมปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะการใช้ AI และนวัตกรรมอย่างมีจริยธรรมเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน
แหล่งอ้างอิง:
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด