เกม AI ถ้าไทยไม่เริ่มตอนนี้ เราอาจจะช้ากว่าโลกไป 10 ปี สรุปเนื้อหาจากงาน AIE 2025

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2025 ที่ผ่านมา ณ งาน GLOBAL ARTIFICIAL INTELLIGENCE MACHINES AND ELECTRONICS EXPO (AIE) 2025 เขตบริหารพิเศษมาเก๊า คุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ CEO และ Co-Founder ของ Techsauce ได้ร่วมขึ้นเวทีเสวนาในหัวข้อ Digital Bridges: AI & Market Analytics Transforming China ASEAN Global Trade

ในเซสชันนี้ คุณอรนุชได้ฉายภาพอนาคตของการค้าโลกที่กำลังถูกรื้อสร้างใหม่ด้วย AI โดยชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือ แต่กำลังเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่เชื่อมจีน อาเซียน และโลกเข้าด้วยกัน พร้อมเสนอ 3 ประเด็นสำคัญที่ธุรกิจและประเทศไทยต้องเร่งปรับตัว

Supply Chain โลกใหม่ เมื่อ AI แทรกซึมตั้งแต่โรงงานยันมือลูกค้า

หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจที่คุณอรนุชเน้นย้ำคือ บทบาทของ AI ในวันนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเป็น Chatbot ถามตอบหรือเครื่องมือช่วยเขียนโค้ดอีกต่อไป แต่ AI ได้ยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็น Main Driver ที่ขับเคลื่อนห่วงโซ่อุปทานของโลกการค้าอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ และ AI คือเครื่องมือที่ทำให้ทุกขั้นตอนฉลาดขึ้น เพราะทุกขั้นตอนมีสมองของมันเอง เช่น

  • ต้นน้ำ (Upstream): ในปัจจุบันเรามีทั้ง Predictive AI ช่วยวางแผนการผลิต,  Physical AI อย่างการใช้หุ่นยนต์ในโรงงาน และ AI Vision ที่คอยตรวจสอบคุณภาพสินค้าแบบเรียลไทม์
  • กลางน้ำ (Midstream): Blockchain + Digital Twin ผนวกกับ AI ทำให้ระบบโลจิสติกส์โปร่งใส ตรวจสอบย้อนกลับได้ง่าย
  • ปลายน้ำ (Downstream): AI วิเคราะห์ตลาดและปรับประสบการณ์ลูกค้าแบบ Personalization ทำให้ทุก touch point ตอบโจทย์ผู้บริโภค

 AI ทลายกำแพงข้ามประเทศ 

ก่อนจะพูดถึงเรื่องนี้ คุณอรนุชให้ภาพรวมว่า การขยายตลาดระหว่างประเทศเคยเต็มไปด้วยอุปสรรค ไม่ว่าจะเป็นภาษา วัฒนธรรม กฎหมาย หรือความเข้าใจผู้บริโภคแต่ละตลาด สิ่งเหล่านี้เคยทำให้การทดลองตลาดและขยายธุรกิจข้ามประเทศช้าและเสี่ยง แต่ตอนนี้ AI กำลังทำให้กำแพงเหล่านี้บางลงและยืดหยุ่นขึ้น

  • Accelerated Prototyping: การสร้างต้นแบบและทดสอบตลาดที่เคยใช้เวลาหลายสัปดาห์ ลดเหลือเพียงหลักนาที ทำให้ธุรกิจสามารถทดลองไอเดียใหม่ ๆ ได้เร็วกว่าเดิม
  • Cultural Resonance: AI ไม่ใช่แค่แปลภาษา แต่ช่วยปรับการสื่อสารและตัวตนของแบรนด์ให้ตรงกับวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ทำให้การสื่อสารกับลูกค้ามีประสิทธิภาพสูงสุด
  • Infinite Scalability: AI Multimodal Agents ช่วยบริหาร workflow หลายตลาดหลายประเทศพร้อมกัน ลดความจำเป็นต้องมีทีม local ขนาดใหญ่

คุณอรนุชสรุปว่า อุปสรรคสำคัญจริง ๆ ไม่ใช่ภาษา เงินทุน หรือจำนวนคน แต่คือ AI Fluency หรือความเชี่ยวชาญในการใช้ AI ถ้าองค์กรไม่เข้าใจและใช้ AI อย่างชาญฉลาด ก็จะตามคู่แข่งไม่ทันและเสียโอกาสทางธุรกิจ

ไทยต้องสร้างความได้เปรียบของตัวเอง ไม่ใช่แค่ตามให้ทัน

หลังจากเล่าให้เห็นภาพว่าโลกกำลังถูกขับเคลื่อนด้วย AI อย่างไร คุณอรนุชก็ชี้ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ “ถ้าไทยอยากแข่งขันได้ในเวทีโลก เราต้องไม่ใช่แค่ผู้ใช้ AI แต่ต้องสร้างความได้เปรียบเชิงลึกของตัวเองให้ได้”

เพราะทุกประเทศกำลังใช้ AI ไปในทิศทางเดียวกัน ถ้าเราเพียงแค่ใช้ตามประเทศอื่นก็จะไปได้ไกลกว่าเสมอ สิ่งที่ไทยต้องโฟกัสคือ สิ่งที่เรามีเฉพาะตัว และเปลี่ยนมันให้เป็นจุดแข็งที่คนอื่นก็ลอกไม่ได้ อาทิ

การสร้าง Sovereign AI แบบไทยแท้จริง 

คุณอรนุชอธิบายว่า สิ่งที่ทำให้ไทยมีศักยภาพคือ ข้อมูลท้องถิ่นและความรู้เฉพาะด้านที่ประเทศอื่นไม่มี และประเทศไทยมีข้อมูลที่เป็นเอกลักษณ์และมีมูลค่าสูงมาก เช่น ข้อมูลเกษตรที่สะสมมานาน, ความเชี่ยวชาญด้านอาหาร การแปรรูป และห่วงโซ่อาหาร, ความรู้ด้านสุขภาพ, ระบบการเงินแบบไทย ๆ ที่มีรูปแบบการทำธุรกรรมเฉพาะตัว

หากเราเอาข้อมูลเหล่านี้มาสร้าง AI Models และ Applications เฉพาะด้าน ไทยจะมีความได้เปรียบที่ประเทศอื่นคัดลอกไม่ได้ เพราะไม่มีข้อมูลต้นน้ำแบบเรา ซึ่งนี่แหละคือ Sovereign AI ที่ไทยควรพัฒนา เป็น Competitive Advantage แบบที่เลียนแบบได้ยาก และผูกเข้ากับจุดแข็งของประเทศเราเอง

ลงทุนใน Deep Tech  และคนเก่งให้มากขึ้น

อีกประเด็นที่คุณอรนุชเน้นคือ ต้องสร้างระบบสนับสนุนที่ช่วยให้ Deep Tech ไทยโตให้ทันเวลา ไม่ใช่ไอเดียดีก็ต้องตายกลางทาง เพราะสตาร์ทอัพสายเทคหนักมักเจอปัญหา Valley of Death คือช่วงที่ต้องใช้เงินและทรัพยากรจำนวนมาก แต่ยังสร้างรายได้ไม่ทัน โดยคุณอรนุชได้เสนอว่าไทยควรมี

  • Smart Capital เงินลงทุนที่มาพร้อมความรู้ เครือข่าย และผู้เชี่ยวชาญ
  • ระบบสนับสนุนการวิจัย การทดสอบ และการทำต้นแบบ
  • การพัฒนาคนด้าน AI, Robotics, BioTech, Materials และด้านลึกอื่น ๆ ที่เป็นอนาคตของอุตสาหกรรมโลก

ถ้าเรายืนบนเทคโนโลยีของตัวเองได้ จะกลายเป็นจุดแข็งระยะยาวของประเทศ

วางแผนระยะยาว ไม่ใช่มองแค่ผลลัพธ์เร็ว ๆ

คุณอรนุชสรุปไว้อย่างชัดเจนว่า ตอนนี้คือช่วงเวลาที่ไทยต้องเริ่มลงมือจริงจัง การตัดสินใจด้านเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องของ 1–2 ปี แต่เป็นเกมยาวที่กำหนดความสามารถของประเทศในอีก 10–20 ปีข้างหน้า เพราะถ้าเรามองแค่ผลระยะสั้น เราอาจตามโลกไม่ทัน แต่ถ้าเราบ่มเพาะความได้เปรียบของตัวเองตั้งแต่วันนี้ ไทยมีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในหลายอุตสาหกรรมระดับภูมิภาคได้จริง

สุดท้ายจะเห็นว่าสิ่งที่คุณอรนุชได้ชี้ไว้คือ ไทยไม่จำเป็นต้องแข่งด้วยขนาด แต่ต้องแข่งด้วยจุดแข็งที่มีคนอื่นลอกไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเฉพาะด้าน ศักยภาพด้านอาหาร เกษตร สุขภาพ ไปจนถึงความคิดสร้างสรรค์และความเร็วในการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย

หากเรากล้าลงทุนใน Deep Tech ตั้งแต่วันนี้ สร้างและดึงดูดคนเก่งให้เข้ามาอยู่ในระบบนิเวศ และมองเกมนี้เป็นระยะยาว ไม่ใช่เพียงโครงการสั้น ๆ ประเทศไทยก็มีโอกาสมากกว่าที่หลายคนคิด ไม่ใช่แค่ตามทันโลก แต่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมสำคัญของภูมิภาค

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

รวมคลื่น Layoff 2025 บิ๊กเทคปลดคนครั้งใหญ่ 300 กว่าวันที่ผ่านมาเจออะไรบ้าง ?

อัปเดตวิกฤต Layoff ปี 2025 ในวงการเทค Intel ปลดกว่า 23,000 คน ตามด้วย Microsoft และ Amazon วิเคราะห์ภาพรวมการลดคนครั้งใหญ่และแนวโน้มตลาดแรงงานยุค AI...

Responsive image

สรุป 17 ดีลใหญ่ AI ที่เกิดขึ้นในปี 2025

สรุปครบ 17 ดีล AI ยักษ์ใหญ่ปี 2025 พร้อมเจาะลึกปม Circular Deals หรือการหมุนเงินลงทุนเป็นวงกลม สัญญาณเตือนฟองสบู่ที่นักลงทุนต้องระวัง...

Responsive image

ทิศทาง Agoda ในยุค AI-First จาก CEO เตรียมปักธงปั้นกรุงเทพฯ เป็น ‘Silicon Valley แห่งเอเชีย’ พร้อมส่องเทรนด์ท่องเที่ยวปี 2026

เจาะลึกวิสัยทัศน์ Agoda 2025 ปั้นกรุงเทพฯ สู่ Silicon Valley แห่งเอเชีย พร้อมเปิดตัวกลยุทธ์ AI-First และ Autonomous Agent ผู้ช่วยอัจฉริยะที่คิดแทนคุณได้ เผยข้อมูล Insight เที่ยวไทย...