
AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงตลาดเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากรวัยหนุ่มสาวที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีเป็นทุนเดิม จากข้อมูลของ OpenAI พบว่าจำนวนผู้ใช้งาน ChatGPT รายสัปดาห์ในอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าในเวลาเพียงปีเศษ ส่งผลให้ตลาดแห่งนี้ติด 1 ใน 5 อันดับแรกของโลกที่มีการใช้งาน ChatGPT ต่อสัปดาห์สูงสุด
ปัจจุบัน AI ไม่ได้เป็นเพียงของเล่นใหม่อีกต่อไป แต่ได้แทรกซึมเข้าไปเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจ การศึกษา และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายที่สำคัญ เช่น การเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างจำกัด และบริการสาธารณสุขที่ไม่ทั่วถึง
ในวงเสวนาที่จัดขึ้นโดย East Ventures ซึ่งมี Roderick Purwana, Managing Partner ของ East Ventures และ Aaron "Ronnie" Chatterji, Ph.D, หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ OpenAI ได้ร่วมกันแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญหลายประการ ว่าเราจะสามารถใช้ประโยชน์จาก AI เชิงกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นได้อย่างไร
แม้ว่าโครงสร้างพื้นฐานหลักของโมเดล AI ในปัจจุบันอย่าง LLM และแพลตฟอร์ม Generative AI ส่วนใหญ่จะถูกพัฒนา และดูแลโดยผู้เล่นรายใหญ่เพียงไม่กี่รายนอกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แต่ศักยภาพที่แท้จริงในการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเหล่านี้กลับขึ้นอยู่กับว่านักนวัตกรรมท้องถิ่นจะนำไปปรับใช้และประยุกต์ใช้อย่างไร
เมื่อเทคโนโลยี AI มีราคาถูกลงและเข้าถึงง่ายขึ้น นักพัฒนาสามารถมุ่งแก้ปัญหาจริงที่เกิดจากบริบททางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ โดย Ronnie จาก OpenAI บอกว่า
โอกาสทางธุรกิจที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ปลายน้ำ ในแอปพลิเคชันเฉพาะทางสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ
ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์ม EdTech อย่าง Ruangguru ได้นำ AI มาช่วยสร้างการเรียนรู้ที่เฉพาะบุคคล ทำให้สามารถเข้าถึงผู้ใช้งานกว่า 45 ล้านคนทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย 75% อยู่นอกเมืองใหญ่
ขณะที่ในวงการสาธารณสุข ระบบ AI ของ Nexmedis สามารถลดงานธุรการของบุคลากรทางการแพทย์ลงได้ถึง 90% ทำให้พวกเขามีเวลาดูแลผู้ป่วยมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล
ส่วนในธุรกิจค้าปลีก GENEXYZ ก็ใช้ AI สร้างอินฟลูเอนเซอร์เสมือนจริงที่ปรับแต่งให้เข้ากับวัฒนธรรมและภาษาท้องถิ่นได้อย่างลึกซึ้ง
บริษัทหลายแห่งที่ได้รับการสนับสนุนจาก East Ventures เช่น Nexmedis, Ruangguru, Meeting.ai, Tictag, GENEXYZ และ bythen ได้นำเทคโนโลยี AI ไปปรับใช้เพื่อตอบสนองความต้องการในท้องถิ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่า AI สามารถถูกปรับแต่งเพื่อแก้ปัญหาความท้าทายในหลากหลายอุตสาหกรรมได้

การมาถึงของ AI ไม่ได้หมายถึงการแทนที่มนุษย์ แต่เป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างคนกับ AI (Human-AI Collaboration) ทักษะที่เครื่องจักรไม่สามารถเลียนแบบได้อย่างสมบูรณ์ เช่น ความคิดสร้างสรรค์, ความฉลาดทางอารมณ์ และการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม จะยิ่งทวีความสำคัญและกลายเป็นรากฐานของนวัตกรรมยุคต่อไป
ดังนั้น เพื่อให้ตลาดเกิดใหม่สามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้สูงสุด ความท้าทายจึงอยู่ที่การทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการส่งเสริมการพัฒนาทักษะใหม่ๆ (Upskilling) และสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเกิดนวัตกรรมจากคนในท้องถิ่น
Ronnie และ Roderick เน้นย้ำว่า การทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI สามารถหล่อหลอมทักษะต่างๆ เช่น ความคิดสร้างสรรค์, ความฉลาดทางอารมณ์, การใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม และการทำงานร่วมกัน
คุณสมบัติเหล่านี้ไม่สามารถถูกทำซ้ำได้อย่างสมบูรณ์โดยเครื่องจักร และจะกลายเป็นรากฐานสำหรับคลื่นลูกใหม่ของนวัตกรรมในภาคส่วนต่างๆ เช่น การศึกษา, สาธารณสุข และธุรกิจขนาดย่อม
ซึ่งการจะทำให้คนพร้อมต่อโลก AI โจทย์ใหญ่จึงอยู่ที่ชุมชนท้องถิ่น รวมถึงภาครัฐ และผู้นำอุตสาหกรรม จำเป็นต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ครอบคลุม พร้อมกับส่งเสริมการเพิ่มทักษะ และสนับสนุนระบบนิเวศนวัตกรรมในท้องถิ่น
เพื่อดึงศักยภาพสูงสุดของ AI ออกมา เราต้องทำงานร่วมกับผู้คน, ผู้นำธุรกิจ และรัฐบาลทั่วโลกเพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้น
Ronnie กล่าวทิ้งท้าย
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด