
ปี 2025 AI ได้กลายเป็นเครื่องมือของคนทำงานไปแล้ว และในปี 2026 กำลังจะเป็นอีกก้าวสำคัญ เพราะ AI จะไม่ได้แค่ช่วยให้ทำงานเร็วขึ้น แต่จะเริ่มเข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทั้งไมโครซอฟท์และผู้เชี่ยวชาญด้าน Work AI เห็นตรงกันว่า ปี 2026 จะเป็นปีที่ AI เริ่มสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริงในองค์กร ขณะเดียวกันก็พาโจทย์และความท้าทายใหม่ ๆ เข้ามาด้วยเช่นกัน บทความนี้จะแบ่งเนื้อหาออกเป็น 2 มุมมองหลัก ได้แก่มุมมองจากไมโครซอฟท์ และมุมมองผู้เชี่ยวชาญจาก Glean’s Work AI Institute ที่ออกมาเตือนถึงผลกระทบในที่ทำงานที่องค์กรไม่ควรมองข้าม
ไมโครซอฟท์มองภาพปี 2026 ว่า AI จะไม่ได้เป็นแค่ Tools อีกต่อไป แต่จะยกระดับเป็น "Digital Partner" ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์อย่างแนบเนียนในทุกอุตสาหกรรม พร้อมไฮไลต์ 7 เทรนด์สำคัญดังนี้:
1. เพื่อนร่วมงานดิจิทัล: AI จะเข้ามาทำหน้าที่เหมือน “ผู้ช่วยอัตโนมัติ” หรือเพื่อนร่วมทีม
คอยช่วยจัดการงานพื้นฐาน เช่น การสร้างคอนเทนต์เบื้องต้น หรือการจัดการข้อมูล
ทำให้ทีมขนาดเล็กทำงานได้มีประสิทธิภาพและเห็นผลชัดเจนขึ้น ขณะที่มนุษย์จะมีเวลาไปโฟกัสกับการวางกลยุทธ์และใช้ความคิดสร้างสรรค์มากกว่าเดิม
2.AI Agent กับมาตรการความปลอดภัยยุคใหม่: เมื่อ AI กลายเป็นเพื่อนร่วมทีม ความปลอดภัยจึงต้องเข้มงวดมากขึ้น AI จะมีระบบตรวจสอบตัวตนและจำกัดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล ระบบความปลอดภัยจะถูกฝังเข้าไปในทุกขั้นตอนของงานโดยอัตโนมัติไม่ใช่แค่เป็นส่วนเสริม
3.ช่วยให้การรักษาพยาบาลเข้าถึงทั่วโลก: AI กำลังพัฒนาจากการช่วยวินิจฉัยโรคขั้นพื้นฐาน ไปสู่การคัดกรองและวางแผนการรักษา ตัวอย่างเช่น โมเดล BioEmu-1 ช่วยพัฒนายา, RAD-DINO วิเคราะห์ภาพเอกซเรย์ และ FCDD ช่วยคัดกรองมะเร็งเต้านมให้แม่นยำขึ้น
สิ่งเหล่านี้ช่วยลดภาระแพทย์และแก้ปัญหาวิกฤตขาดแคลนบุคลากร
4. AI เร่งงานวิจัยและค้นพบสิ่งใหม่ๆ: AI จะช่วยเร่งการค้นพบทางฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยาตัวอย่างเช่น เครื่องมือ MatterGen และ MatterSim ช่วยค้นหาวัสดุใหม่ๆ สำหรับพลังงานสะอาด ส่วนโมเดล Aurora สามารถพยากรณ์สภาพอากาศและภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม ได้แม่นยำและรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการรับมือ Climate Change
5. โครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ: ยุคต่อไปของ AI จะไม่ใช่แค่สร้าง Data Center เยอะๆ แต่จะเน้นให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพด้วย “โรงงาน AI อัจฉริยะ” และเทคโนโลยีใหม่อย่าง Analog Optical Computer (AOC) ที่ใช้แสงประมวลผลแทนไฟฟ้า ทำให้แก้ปัญหาซับซ้อนได้เร็วขึ้นแต่ใช้พลังงานที่น้อยลง
6. เข้าใจบริบทของโค้ดและช่วยแก้ปัญหาได้เร็ว: AI จะไม่มองโค้ดแค่ทีละบรรทัด แต่จะเข้าใจโครงสร้าง ความสัมพันธ์และประวัติความเป็นมาทั้งหมดของโปรเจกต์ ทำให้สามารถตรวจจับบั๊กและแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ได้อย่างแม่นยำขึ้น
7. ก้าวกระโดดสู่ควอนตัม: Hybrid Computing กำลังมา มันรวม AI เข้ากับควอนตัมคอมพิวเตอร์ เช่น ชิป Majorana 1ทำให้ระยะเวลาการพัฒนาเทคโนโลยีจากหลายสิบปี ลดเหลือแค่ไม่กี่ปี ช่วยแก้ข้อจำกัดของคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ตอนนี้
1. ระวัง AI สร้างภาระงานให้คนอื่น: พอ AI ช่วยเขียนอีเมลหรืองานได้ง่ายๆ กลายเป็นว่าเรามักจะได้รับข้อความยาวเหยียดที่คนส่งเองก็ยังไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ เหมือนโยนภาระมาให้คนรับต้องมานั่งแกะความหมายเอาเอง แทนที่จะช่วยประหยัดเวลากลับกลายเป็นเสียเวลาโดยใช่เหตุ
2. อย่าเชื่อความสวยหรูของภาษา AI: อย่าเพิ่งเคลิ้มไปกับภาษาที่ดูโปรและสละสลวยของ AI เพราะภาษาที่สวยอาจเป็นกับดักที่ซ่อน "ความว่างเปล่า" ไว้ข้างใน ซึ่งในปี 2026 สิ่งที่ต้องทำให้ได้คือแยกให้ออกว่า งานไหนใช้ AI ทำได้ และงานไหนที่ยังไงก็ต้องใช้ "กึ๋น" และประสบการณ์จริงของมนุษย์
3. ทำงานเสร็จเร็วขึ้น ไม่ได้แปลว่าจะได้พักมากขึ้น: ใครที่ฝันว่า AI จะช่วยให้งานเสร็จไวแล้วจะได้พัก อาจต้องคิดใหม่ เพราะความเป็นจริง คือพอเราทำงานเร็วขึ้น องค์กรก็มักจะ "เพิ่มงานใหม่" มาให้ทันที กลายเป็นว่าเราต้องปั่นงานเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนเวลาพักหายวับไปกับตา
4. เลิกวัด KPI ที่ปริมาณ: เลิกวัดความขยันด้วยจำนวนงานกันได้แล้ว เพราะเดี๋ยวนี้ AI ปั่นยอดพวกนี้ได้ในพริบตา ตัวชี้วัดแบบเดิมเลยไร้ความหมาย องค์กรยุคใหม่ต้องหันมาวัดกันที่ "ผลลัพธ์" และคุณภาพของเนื้องานจริงๆ
5. ระวังการสรุปงานด้วย AI: การให้ AI สรุปการประชุมอาจสะดวกขึ้นจริง แต่ต้องระวังเรื่องบริบทที่หายไป ทีมอาจจะอ่านสรุปแล้วนึกว่าเข้าใจตรงกัน แต่จริงๆ แล้วอาจขาดรายละเอียดสำคัญไประหว่างบรรทัด ซึ่งจุดเล็กๆ ที่หายไปอาจทำให้เกิดปัญหาได้
6. งานง่ายแต่ล้นมือเพราะ AI: พอมี AI เป็นตัวช่วย งานยากๆ ก็ดูเหมือนง่ายไปซะหมด จนหลายคนเผลอรับงานเพิ่ม หรือข้ามสายไปทำสิ่งที่ไม่ถนัดสุดท้ายกลายเป็นดินพอกหางหมู งานล้นมือจนกระทบเวลาส่วนตัว
7. ยิ่งเครื่องมือเยอะ ยิ่งเหนื่อย: การมีแอปฯ หรือเครื่องมือ AI เยอะๆ ไม่ได้แปลว่าจะทำงานดีเสมอไป เผลอๆ จะเหนื่อยกว่าเดิมเพราะต้องคอยสลับหน้าจอไปมาเพื่อหาข้อมูล จนเกิดอาการ "ล้า" ซึ่งองค์กรไม่ควรดูที่จำนวนเครื่องมือ AI แต่ควรดูว่าใช้งานง่ายหรือยาก เพราะเครื่องมือเยอะอาจไม่ได้ช่วยให้ทำงานดีขึ้นเสมอไป
8. อย่ารีบปลด "เด็กจบใหม่" เพราะ AI ไม่ใช่ทุกอย่าง: หลายบริษัทคิดผิดที่เลิกจ้างเด็กจบใหม่หรือ Junior เพียงเพราะคิดว่ามี AI ช่วยแล้ว แต่จริงๆ คนรุ่นใหม่นี่แหละคือกลุ่มที่ปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีได้ไวที่สุด แถมยังกล้าที่จะรื้อระบบงานเก่าๆ ที่ล้าสมัย
ปี 2026 จะเป็นปีที่เทคโนโลยีพร้อมจะพาเราไปไกลกว่าเดิม ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ การแพทย์และธุรกิจ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นบททดสอบสำคัญของมนุษย์และองค์กรที่จะต้องเรียนรู้การ "บริหารจัดการงาน" ไม่ให้ถูกความเร็วของ AI ครอบงำ
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด