"เราจีบ 'Ash Maurya' มา 3 ปีแล้ว ในที่สุดก็ได้เขามาร่วม dtac accelerate Batch 5 ในปีนี้" คุณเหมง - สมโภชน์ จันทร์สมบูรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมธุรกิจและดีแทค แอคเซอเลอเรท กล่าวอย่างมีความสุข
สำหรับผู้ที่อาจจะยังไม่คุ้นชื่อของ Ash Maurya (แอช มารียา) ถ้าบอกว่าเขาคือผู้เขียนหนังสือ 'Running Lean' ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในหนังสือที่ Startup ต้องอ่าน และเป็นผู้คิดค้นโมเดล 'Lean Canvas' เฟรมเวิร์กโมเดลธุรกิจบนหน้ากระดาษแผ่นเดียวที่สตาร์ทอัพทั่วโลกนิยมใช้เป็นเครื่องมือช่วยให้ธุรกิจเติบโต สตาร์ทอัพไทยทั้งหลายคงจะอยากรู้จักเขามากขึ้น
จากการสัมภาษณ์เพิ่มเติม Ash บอกว่า นี่เป็นการมาประเทศไทยครั้งที่สอง และเป็น Business Trip ครั้งแรกของเขาเลยทีเดียว โดย Ash เคยบรรยายในประเทศใกล้ๆ บ้านเราอย่างสิงคโปร์มาบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยเลยจริงๆ ที่เขาจะมีโอกาสได้มาเยือน Southeast Asia
สาเหตุที่สตาร์ทอัพส่วนใหญ่ไม่
จากเดิมคนที่เริ่มต้นทำธุรกิจต้องเขียน Business Plan (แผนธุรกิจ) ยาวหลายสิบหน้าและต้องใช้เวลานาน Ash จึงคิดค้น Tool ที่ชื่อว่า 'Lean Canvas' เฟรมเวิร์กที่ช่วยให้สร้างธุรกิจได้เร็วขึ้นภายในหน้ากระดาษเดียว ซึ่งนำไปใช้ได้จริงและช่วยลดความผิดพลาดได้ คิดอย่างเป็นระบบมากขึ้น โดยให้สตาร์ทอัพเริ่มต้นจากคำถามว่า 'ทำไม' แล้วตอบทุกช่องในเฟรมเวิร์ก
สิ่งสำคัญของ Lean canvas อีกประการคือ การกำหนดดัชนีชี้วัดที่สำคัญ (Key Metrics) ในการดำเนินธุรกิจที่ชั
“ปัญหาที่สตาร์ทอัพทั่วโลกเผชิญ คือ เมื่อธุรกิจดำเนินไประยะหนึ่
แนวคิด Lean Canvas นี้ ไม่จำกัดการใช้เพียงแค่ในกลุ่มสตาร์ทอัพเท่
การตั้
งคำถามและทดลองสมมติ ฐานเหล่านั้น ทำให้เรามองธุรกิจได้ชัดและกว้ างมากขึ้น และลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้ นจากการดำเนินธุรกิจได้
ปัจจุบัน วงการสตาร์ทอัพมีความตื่นตั
และบนเว็บไซต์ Lean Canvas เขายังเห็น Traffic จากคนไทยเข้าไปดูข้อมูลมากขึ้น พอมาเมืองไทยก็เห็นโมเดล เห็นวิธีการทำธุรกิจ ก็พบว่าคนไทยมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ประกอบการมากขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับประเทศไทย รูปแบบของสตาร์ทอัพส่วนใหญ่ที่เขาเห็น ยังเป็นแบบ 'Marketplace' สิ่งที่สำคัญคื
ชีวิตนั้นสั้นเกินกว่าจะสร้างอะไรที่คนไม่ได้ใช้ขึ้นมา
เนื่องจากมีคนสนใจ Lean Canvas มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันนี้ เวลาครึ่งหนึ่งของ Ash จึงใช้ไปกับการเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทใหญ่ๆ เช่น Microsoft, Cisco, HP แบรนด์ผู้ผลิตสินค้าออกมาแล้วและผู้ที่จะผลิตสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด ตลอดจนมหาวิทยาลัยชั้นนำ
การที่จะทำให้เกิดยูนิคอร์น สตาร์ทอัพที่มีมูลค่าเกิน 1 พันล้านดอลลาร์ได้นั้น ต้องคิดอะไรให้ใหญ่ขึ้นก่อน คือต้องคิดถึงโซลูชันส์ที่แก้ปัญหาของคนทั้งโลก ไม่ใช่เพียงประเทศไทยเท่านั้น
Seekster และ Tourkrub (ทัวร์ครับ) เป็นสองสตาร์ทอัพจาก dtac accelerate Batch 5 ที่ได้มาแชร์ความรู้ให้ฟัง
Seekster ได้แชร์ให้พวกเราฟังว่า Ash ได้มาสอนเรื่องการคิดแผนการทำงานอย่างมีระบบ เป็นสูตร 2-2-2 ให้มองภาพว่าอีก 2 ปีจะเป็นอย่างไรต่อ แล้วภารกิจที่จะต้องทำใน 2 เดือนนี้คืออะไร แล้วอะไรคือสิ่งที่จะต้อง Buid ก่อนได้ 2 สัปดาห์นี้
Tourkrub (ทัวร์ครับ) เล่าว่าตนได้ทำ Riskiest Assumption Test (RAT - วิธีทดสอบความเสี่ยงสูงสุด) ซึ่ง Ash จะคอยถามว่า ความเสี่ยงที่จะทำให้แต่ละช่องสั่นคลอนมีอะไรบ้าง แล้วก็จะคอยถามทีมว่า ทำไมถึงต้องเขียนแต่ละช่อง ต้องการจะวัดผลอะไรจากแต่ละช่อง (Metrics) ซึ่งทำให้ทีมมองภาพธุรกิจได้ลึกขึ้นและดีต่อการทำให้ธุรกิจเติบโตต่อไปอย่างมาก
หนังสือเล่มใหม่ล่าสุดของ Ash เป็นคีย์ลัดที่วัดผลได้ เครื่องมือที่จะทำให้สตาร์ทอัพโตไวขึ้นอีก
แรงบันดาลใจที่ทำให้ Ash เขียนหนังสือเล่มแรกออกมาคือประโยคที่ว่า Life is too short to build something nobody wants (ชีวิตนั้นสั้นเกินกว่าจะสร้างอะไรที่คนไม่ได้ใช้ขึ้นมา) ซึ่งเมื่อคนส่วนใหญ่สร้างอะไรออกมาแล้วก็มักจะตกหลุมรักโซลูชันส์นั้นของตนเอง นั่นกลายเป็นหลุมพลางหนึ่งที่อาจนำมาสู่ความล้มเหลว
เล่มต่อไปที่เขาจะเขียนจึงเป็นภาคต่อ เพื่อจะบอกว่า 'อย่าตกหลุมรักโซลูชันส์ที่คุณคิด แต่จงตกหลุมรัก ปัญหา ของคุณ' ดังนั้น แนวการเขียนจึงเป็นคำถามและทางออกที่ว่า 'ทำไมเราจึงติดกับดักนั้น และจะมีวิธีเลี่ยงมันอย่างไร'
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด