ถ้าย้อนมอง Amazon Web Services (AWS) ไปที่ต้นทางของธุรกิจ ภาพของ Amazon.com อดีตร้านหนังสือออนไลน์ที่จัดเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพยุคบุกเบิก ขยายสู่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และวิวัฒนาการเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ จนขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในเจ็ดหุ้นนางฟ้า หรือ Magnificent 7 ที่ทั้งโลกรู้จัก และไม่ว่าจะมาไกลแค่ไหน หรือมูลค่าหุ้น Amazon (AMZN) จะอยู่ที่เท่าไหร่ ยักษ์ใหญ่รายนี้ก็ยังคงให้ความสำคัญและทุ่มเงินทุนสนับสนุนเทคสตาร์ทอัพเรื่อยมา

ไม่นานมานี้ เทคซอสมีโอกาสสัมภาษณ์ คุณวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ Country Manager, AWS ประเทศไทย ในด้านการสนับสนุนสตาร์ทอัพ คุณวัตสันเล่าว่า หลังจากที่ Amazon เริ่มให้บริการเทคโนโลยีคลาวด์ ผู้ใช้งานกลุ่มแรก ๆ ที่ให้การตอบรับอย่างดีก็คือ กลุ่มสตาร์ทอัพ ซึ่งมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างจากองค์กรขนาดใหญ่ และตั้งแต่ตอนนั้น Amazon ก็ให้ความสำคัญและปักธงสนับสนุนสตาร์ทอัพทั่วโลก
สำหรับประเทศไทย Amazon จัดตั้งทีมงานเพื่อดูแลสตาร์ทอัพโดยเฉพาะ ทั้งยังจัดหาบุคลากรจาก AWS ทั้งในและต่างประเทศ กับเชิญรุ่นพี่สตาร์ทอัพมาแชร์ Success Story และ Case Study โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจฟินเทค โดยให้ผู้มีประสบการณ์จากอุตสาหกรรมในประเทศและต่างประเทศ จับคู่แบ่งปันประสบการณ์การเติบโตจากสตาร์ทอัพสู่องค์กรระดับบิ๊ก รวมถึงบทเรียนที่ได้ ไม่ว่าจะมาจากความสำเร็จหรือล้มเหลว
คุณวัตสันให้รายละเอียดว่า 'สตาร์ทอัพในระยะเริ่มต้น' ต้องการความช่วยเหลือทั้งด้านเงินทุน เทคนิค เทคโนโลยี และการเชื่อมต่อกับเครือข่ายเพื่อช่วยให้ประสบความสำเร็จ ทาง AWS จึงสร้างทางเชื่อมให้สตาร์ทอัพพบปะนักลงทุน (VC) และผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ผ่าน AWS Activate โครงการที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2556 โดยสตาร์ทอัพที่เข้าโครงการจะได้ AWS Credits เพื่อใช้ทดลองและพัฒนาไอเดียเป็นรูปธรรม จนปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมโครงการแล้วราว 330,000 รายทั่วโลก
"ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา เราให้การสนับสนุนโครงการ AWS Activate ทั่วโลกไปแล้วกว่า 7,000 ล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะปีที่แล้วเพียงปีเดียว เราสนับสนุนไป 2,000 ล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นถึงการเร่งการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดคือ มากกว่า 80% ของบริษัทระดับยูนิคอร์นทั่วโลกใช้บริการ AWS" คุณวัตสันให้ข้อมูลตัวเลข
มาในยุคปัญญาประดิษฐ์ AWS ก็นำ AI มาให้สตาร์ทอัพใช้ ทั้งเทคโนโลยี AI, Machine Learning, Generative AI และเทคโนโลยี AI ในอนาคต ไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองได้สะดวกรวดเร็วกว่าเดิมมาก และยังจัดทำโครงการระยะ 8 สัปดาห์ AWS Gen AI Accelerator หรือ GAIA เพื่อช่วยเหลือสตาร์ทอัพซึ่งมีแนวคิดด้าน Generative AI แต่ยังไม่สามารถพัฒนาให้เป็นรูปธรรม สามารถสร้างประสบการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริง (Real-world Experience) และต่อยอดสู่การสร้างรายได้ในอนาคต
สำหรับโครงการ GAIA ปี 2025 มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการมากกว่าพันรายจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อเมริกาเหนือ ละตินอเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง แต่มีเพียง 40 สตาร์ทอัพจากทั่วโลก ที่ผ่านการคัดเลือก โดยหนึ่งในนั้นมีสตาร์ทอัพไทยเพียงรายเดียวจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นั่นคือ SCB 10X บริษัทในเครือ SCBX ผู้พัฒนา ไต้ฝุ่น (Typhoon) โครงการวิจัยปัญญาประดิษฐ์แบบเปิด ที่มุ่งพัฒนาเทคโนโลยี AI สำหรับการใช้งานโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Open-source Multimodal Language Models) ทั้งภาษาไทยและภาษาท้องถิ่นต่าง ๆ ในประเทศไทย


เมื่อพิจารณา 40 ธุรกิจที่ผ่านการคัดเลือกเข้าโครงการ GAIA พบว่า มีบริษัทที่ใช้ Gen AI จากหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ การเงิน การผลิต การดูแลสุขภาพ กฎหมาย ซอฟต์แวร์และอินเทอร์เน็ต สื่อและความบันเทิง โดย Typhoon จัดอยู่ในกลุ่มซอฟต์แวร์และอินเทอร์เน็ต ที่พัฒนาศักยภาพของโมเดลภาษาได้อย่างต่อเนื่องและค่อนข้างแอ็คทีฟ
ด้านการสนับสนุน ทั้ง 40 สตาร์ทอัพจะได้ใช้ทรัพยากร AWS เพื่อสร้างผลกระทบให้เกิดขึ้นจริง ก้าวข้ามข้อจำกัดต่าง ๆ, ได้ใช้ AWS Credits สูงสุด 1 ล้านดอลลาร์, ได้ปรึกษา Mentor แบบเป็นราย ๆ ไป รวมถึงสิทธิ์ในการเข้าถึงเครือข่ายสนับสนุนสตาร์ทอัพที่คัดเลือกมาเป็นพิเศษ
"ถึงแม้ว่า SCB 10X จะเติบโตเกินกว่าระดับสตาร์ทอัพทั่วไปแล้ว เนื่องจากได้ดำเนินการหลายโครงการที่มีศักยภาพสูง ทาง AWS ยังเชื่อว่า Typhoon จะหนุนให้บริษัทจะก้าวขึ้นมาเป็นองค์กรชั้นนำระดับอาเซียนได้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้เห็นการเติบโต การขยายตัวของสตาร์ทอัพในประเทศไทยต่อไป เพราะ Innovation คือรากฐานสำคัญที่จะช่วยยกระดับประเทศไทยให้พ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง" คุณวัตสันกล่าวในตอนท้าย
ทีมวิจัยและพัฒนา Typhoon ของ SCB 10X ทำให้ Typhoon มีความสามารถและประยุกต์ใช้ได้หลากหลายกว่าโมเดลภาษาไทยที่องค์กรอื่น ๆ ในไทยพัฒนา โดยผสานความเข้าใจเชิงลึกด้านภาษาและวัฒนธรรมไทยเข้ากับนวัตกรรมเชิงปฏิบัติ เพื่อสร้างระบบ AI ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้และบริบทในประเทศไทย โดย คุณกสิมะ ธารพิพิธชัย Head of AI Strategy, SCB 10X และทีมงานมาร่วมให้ข้อมูลและเล่าความคืบหน้าเกี่ยวกับ Typhoon ในหลากหลายมิติ เช่น LLM-SLM, Sovereign AI, Case Studies, Future Plan ดังนี้

"ตลอดสองปีที่ผ่านมา เราพัฒนาโมเดลหลากหลายประเภท เริ่มจาก Typhoon 1.0 ที่เป็นโมเดลข้อความพื้นฐาน จากนั้นได้พัฒนาต่อยอดเป็น Typhoon 1.5, 2 ทั้งในรูปแบบโมเดลขนาดเล็กและกลาง รวมถึง Small Language Models (SLMs) และ Typhoon 2.1 GEMMA เมื่อเราพบว่า ยังมีช่องว่างด้านเสียงในตลาดไทย เราจึงได้พัฒนาระบบแปลงเสียงเป็นข้อความและข้อความเป็นเสียง พร้อมทั้งขยายไปสู่โมเดล Multimodal และโมเดลด้านภาพ
"ประเด็นที่มักถูกถามคือ 'ทำไมประเทศไทยต้องมีโมเดลของตัวเอง?' เมื่อสองปีก่อน คำตอบค่อนข้างชัดเจน โมเดลแรกของเราสามารถทำงานด้านภาษาไทยได้ดีกว่าโมเดลอื่นในช่วงนั้น แม้ปัจจุบันโมเดลต่างประเทศจะพัฒนาไปมาก แต่ยังมีช่องว่างสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข"
"ในด้านเทคนิค เรายังพบข้อจำกัดหลายประการ เช่น OCR (Optical Character Recognition หรือการรู้จำอักขระด้วยแสง ซึ่งเป็นกระบวนการที่แปลงภาพข้อความให้เป็นรูปแบบข้อความที่เครื่องอ่านได้) ภาษาไทยยังมีความแม่นยำต่ำ โดยเฉพาะเมื่อต้องทำงานกับเอกสารราชการ นอกเหนือจากนี้ การรู้จำเสียงพูดภาษาไทยก็ยังมีราคาแพงและต้องการการพัฒนาอีกมาก"
ที่สำคัญ ภาษาไทยยังถือเป็น Low-resource Language ในโลกของ AI ซึ่งหมายถึง มีทรัพยากรและข้อมูลไม่เพียงพอสำหรับการฝึกโมเดล
นอกเหนือจากประเด็นข้างต้น โมเดลต่างประเทศยังไม่สามารถรองรับ 'การสลับภาษาและภาษาผสม' ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังขาดความเข้าใจในคำเฉพาะของไทยและไม่รองรับภาษาท้องถิ่นต่าง ๆ ในประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการสื่อสารในชีวิตประจำวันของคนไทยอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีความท้าทายในการพัฒนาโมเดล AI สำหรับภาษาท้องถิ่น ซึ่งถ้าบริษัทไทยพัฒนาได้เองก็จะมีข้อได้เปรียบที่สำคัญคือ สามารถควบคุมและปรับแต่งได้ตามความต้องการ, ทำให้สอดคล้องกับบริบทและวัฒนธรรมไทยได้มากกว่า และที่สำคัญ มีต้นทุนต่ำกว่าแต่ให้ประสิทธิภาพสูง ซึ่งเหมาะสมกับการใช้งานในประเทศไทยโดยเฉพาะ
การมีโมเดลของตัวเองจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของความสามารถทางเทคนิค แต่ยังเป็นการลงทุนในอนาคตของเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศ
คุณกสิมะยังบอกด้วยว่า ผลงานวิจัยในโครงการ Typhoon ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยได้รับการตีพิมพ์ในการประชุมวิชาการด้าน AI, ML, NLP, ภาษาศาสตร์ชั้นนำระดับโลก เช่น ACL, Interspeech, NeurIPS, ICLR และ EMNLP ซึ่งการทำวิจัยในระดับนี้ไม่เพียงช่วยพัฒนาโมเดล AI ให้ดีขึ้น แต่ยังเป็นการแบ่งปันความรู้และเทคนิคใหม่ ๆ ให้แก่ชุมชน AI ของไทย

คุณกสิมะยังเผยความสำเร็จของ Typhoon ผ่านตัวเลขการใช้งาน ทั้งการเรียกใช้ API กว่า 3.5 ล้านครั้ง จากผู้ใช้ 19,000 ราย, มีสมาชิกในชุมชน discord กว่า 1,000 คน และมีการดาวน์โหลดโมเดลมากถึง 6.6 ล้านครั้ง
ยอดการใช้งานเกินความคาดหมายของเรามาก ส่วนเป้าหมายต่อไปของเราคือ การทำให้โมเดลสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ น่าเชื่อถือ และมีต้นทุนที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ใช้งานในวงกว้างสามารถเข้าถึงได้ และเราเชื่อว่าการพัฒนา AI ท้องถิ่นจะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศไทย
สรุปแล้ว เมื่อผนวกความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีระดับโลกและเครือข่ายพันธมิตรของ AWS เข้ากับข้อมูลวิจัยเชิงลึกของ SCB 10X ก้าวสำคัญนี้จะช่วยให้ SCB 10X ขยายการเข้าถึงโมเดลผ่านบริการต่าง ๆ ของ AWS รวมถึง AWS Marketplace ได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาบริการสำหรับนักวิจัย นักพัฒนา และภาคธุรกิจ ทั้งที่เป็น Text Based, Audio Based และ Image Based ให้ประมวลผลภาษาได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูงกว่าที่เคยมีมา
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด