3 แกนสำคัญของงานบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship management) ที่จะมาพลิกโฉมโลกธุรกิจและบริการ โดยคุณสันติ ผลวารินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานเติบโตทางธุรกิจ, บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) ในงาน Innovative Martech and CRM Solutions for the Future เจาะลึก CRM Solutions ขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคต โดยความร่วมมือระหว่าง Beryl8 Plus บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และบริการ CRM แบบครบวงจร และ Techsauce
ช่วงเริ่มต้นของการบรรยาย คุณสันติได้เล่าถึงประสบการณ์และวิสัยทัศน์ของ Beryl 8 Plus ที่ก่อตั้งมากว่า 12 ปี และทำงานกับลูกค้ามามากกว่า 100 ราย โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทมีการส่งมอบโปรเจกต์ให้กับลูกค้ามากกว่า 250 โปรเจกต์ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลและการทำงานร่วมกันในรูปแบบทีมมาบรรลุเป้าหมายและความต้องการของลูกค้า
โดยบริการของ Beryl 8 Plus จะเริ่มตั้งแต่กระบวนการช่วยคิดและให้คำแนะนำในเชิงกลยุทธ์แก่ลูกค้า และจะมีทีมงานคอยช่วยลูกค้าดำเนินการตามแผนกลยุทธ์ให้เกิดขึ้นจริง โดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ ที่ทางบริษัทได้เป็นพาร์ทเนอร์ด้วย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเทคโนโลยีชั้นนำในระดับโลก นอกจากนี้ Beryl 8 Plus ยังมีการทำงานร่วมกับทีมงานที่มีผู้เชี่ยวชาญด้าน Big Data และ AI อีกด้วย และหลังจากที่ผ่านเข้าสู่ขั้นตอนดำเนินการจนบรรลุเป้าหมายแล้ว จะยังคงมีทีมงานที่คอยสนับสนุนลูกค้าต่อไป ทั้งในกรณีที่ลูกค้ามีปัญหาการใช้งานระบบ ก็จะมีทีมงาน Managed Service เข้าไปทำงานกับลูกค้าเพื่อที่จะพัฒนาและต่อยอดระบบให้ทำงานด้านอื่นๆ ได้ต่อไป นอกจากนี้ ยังมีทีมงานที่คอยช่วยจัดอบรมและเพิ่มขีดความสามารถให้กับบุคลากรในองค์กรของลูกค้าอีกด้วย
ซึ่ง milestone สำคัญสำหรับ Beryl 8 Plus ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา คือการที่บริษัทได้รับความไว้วางใจจาก Salesforce บริษัทผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม CRM ระดับโลก เข้ามาลงทุนและถือหุ้นในบริษัท โดย Salesforce Ventures (บริษัทการลงทุนในเครือของ Salesforce) ซึ่งคุณสันติกล่าวว่าบริษัทที่ Salesforce Ventures เข้าไปลงทุนล้วนเป็นบริษัทชั้นนำด้านนวัตกรรม ที่มีบทบาทสำคัญด้านการเปลี่ยนแปลงธุรกิจของลูกค้าอย่างมีนัยยะสำคัญทั้งสิ้น และจนถึงขณะนี้ Beryl 8 Plus ยังคงเป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ Salesforce Ventures เข้ามาลงทุน
ไม่เพียงเท่านั้น Beryl 8 Plus ยังมองเห็นถึงความหลากหลายในการใช้เทคโนโลยี เพื่อให้สามารถส่งมอบความสำเร็จให้กับลูกค้าต่อไปได้ โดยนอกจาก Salesforce แล้ว บริษัทได้เป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำด้านนวัตกรรมอื่นๆ ระดับโลก เช่น MuleSoft, Tableau, SnowFlake และ Google
คุณสันติได้แบ่งปันประสบการณ์จากการทำงานกับลูกค้าและการวิจัยของทีมงาน Beryl 8 Plus ถึงแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงในงานบริหารลูกค้าสัมพันธ์หลังจากนี้ โดยสรุปได้เป็น 3 แกนหลัก
ประสบการณ์ของผู้บริโภค
ปัจจุบันความต้องการของผู้บริโภคมีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงโควิด ผู้บริโภคต้องการใช้บริการทางออนไลน์มากขึ้น ทำให้ที่ผ่านมาหลายๆ องค์กรจำเป็นต้องลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับลูกค้าในช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น ซึ่งคุณสันติเน้นย้ำว่าความต้องการนี้จะไม่หยุดอยู่แค่นั้นแม้โควิดจะหายไป
โดยคุณสันติยกตัวอย่างจากการทำธุรกรรมทางการเงิน ที่ถึงแม้การคลายล็อกดาวน์ ทำให้ผู้คนกลับไปใช้บริการร้านค้าแบบออฟไลน์กันมากขึ้น แต่ตัวเลขความต้องการใช้งาน Online banking ไม่ได้ลดน้อยลงไป ในทางกลับกันตัวเลขกลับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 16 % ซึ่งหมายความว่าปัจจุบันผู้บริโภคมีความต้องการจะรับบริการผ่านทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์แบบผสมผสานกันอย่างแยกไม่ออก สิ่งนี้จะกลายเป็นความท้าทายของภาคธุรกิจ ที่จะต้องหาทางเชื่อมโยงโลกทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกันให้ได้
“ที่ผ่านมาเราเคยพูดเรื่อง Omnichannel มาหลายครั้งแล้ว โควิดและโลกอนาคตอันใกล้นี้ จะบังคับให้ Omnichannel เกิดขึ้นอย่างแท้จริง โลกทั้งสองฝั่งจะต้องเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ บริการของเราทั้งในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ จะต้องทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ไม่แตกต่างกัน”
นอกจากนั้นคุณสันติได้กล่าวถึง การทำงานแบบ Real Time โดยยกตัวอย่างว่า ธุรกิจต้องการเข้าถึงข้อมูลผู้บริโภคตลอดเวลา เช่นเดียวกันผู้บริโภคเองก็คาดหวังการรับบริการที่รวดเร็ว ซึ่งความรวดเร็วนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงในยุคโควิด เพราะผู้บริโภคเคยชินกับการใช้บริการออนไลน์ ที่สามารถเข้าถึงสินค้าและการรับบริการอย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย ทำให้ปัจจุบันเมื่อหน้าร้านกลับมาเปิด ผู้บริโภคไม่ได้มีความสามารถในการอดทนรอรับบริการรูปแบบเดิมๆ อีกต่อไป แต่ต้องการให้ทุกขั้นตอนสามารถดำเนินการในช่องทางออนไลน์ได้ จึงกลายเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ภาคธุรกิจจะต้องคิดและเตรียมการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรับรองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปจากเดิม
สำหรับประเด็นสุดท้าย ในเรื่องของ Personalized คุณสันติย้ำว่าความคาดหวังและพฤติกรรมของผู้บริโภคนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และต้องการเข้าถึงการใช้งานได้หลากหลายทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยากสำหรับคนที่ทำ CRM หรือการตลาด เพราะไม่สามารถมองผู้บริโภคโดยใช้ Persona เดิมๆ ได้อีกต่อไป แต่จะต้องเริ่มคิดและทำใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการจัดกลุ่มผู้บริโภค, การวิเคราะห์ข้อมูล, แคมเปญทางการตลาด, ผลิตภัณฑ์, โปรโมชัน รวมถึงช่องทางการขายใหม่ๆ ให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภค
โดยคุณสันติให้ตัวอย่าง ธุรกิจขนาดเล็กที่มีหน้าร้านออนไลน์อยู่แล้วและไม่ได้มีหลายสาขามาก เมื่อมีการเปิดเมืองและการใช้ชีวิตกลับมาเป็นปกติ ร้านค้าจะรักษาลูกค้าไว้กับตัวเองได้อย่างไร ก่อนหน้านี้มีการเก็บข้อมูลของลูกค้าไว้บ้างหรือไม่ นอกจากนั้นยังได้ยกตัวอย่าง ธุรกิจร้านอาหาร ที่เคยมีลูกค้าประจำมาอุดหนุนหน้าร้านแต่ห่างหายไปช่วงโควิด หรือกลุ่มลูกค้าที่อุดหนุนผ่านทางแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ หากวันหนึ่งลูกค้าสองกลุ่มนี้ อยากมาทานอาหารที่ร้าน ธุรกิจจะใช้มีวิธีอะไรในการจดจำลูกค้าเหล่านั้น
และสุดท้ายสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งมีแนวโน้มใกล้จะได้กลับมาเปิดอีกครั้ง ภาคธุรกิจท่องเที่ยวจะวางแผนเพื่อกระตุ้นให้กลุ่มลูกค้าเก่ากลับไปใช้บริการได้อย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ธุรกิจจะต้องเตรียมตัว
พนักงานในองค์กร
ส่วนที่สองคือด้านบุคลากร คุณสันติมองว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างมาก ที่ส่งผลต่องานด้านการขายและการบริการ ซึ่งคุณสันติได้กล่าวถึงมุมมองความต้องการใช้เทคโนโลยีของพนักงาน ว่ากว่า 82% มีความต้องการจะเข้าถึงข้อมูลและมีความสามารถด้านไอที ในขณะที่พนักงานเพียง 37% เท่านั้น ที่มองว่าบริษัทของตัวเองสามารถจัดหาข้อมูลและเครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นให้พวกเขาได้
โดยคุณสันติได้กล่าวถึงเทรนด์ในต่างประเทศช่วงนี้ เกี่ยวกับกระแส ‘Great Resignation’ หรือการลาออกครั้งใหญ่ ว่าหากธุรกิจต้องการจะพลิกวิกฤตนี้และดึงดูดคนที่มีความสามารถมาทำงานด้วยกัน อาจจะต้องเริ่มมองหาวิธีการเชื่อมโยงข้อมูลและระบบต่างๆ เพื่อให้บุคลากรเข้าถึงข้อมูลที่พวกเขาต้องการ และควรเริ่มลงทุนในแพลตฟอร์มเพื่อให้พนักงานทุกระดับสามารถเข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือในการทำงานได้
ซึ่งสิ่งต่อไปที่ธุรกิจจะต้องเตรียมตัว คือการเปลี่ยนแปลงของพนักงาน ทั้งการเข้าออกของพนักงานในบริษัท และการโยกย้ายตำแหน่งหรือแผนก ที่ทำให้พนักงานต้องเรียนรู้และศึกษาระบบงานใหม่ ธุรกิจจะต้องจะทำให้ขั้นตอนต่างๆ ในการทำงาน สามารถสอนพนักงานไปได้ในตัว ควรมีเครื่องมือที่ทำให้พนักงานของตัวเองสามารถเข้าถึงข้อมูลและระบบของบริษัทได้จากทุกที่ นอกจากนั้น ในโลกอนาคตโซเชียลมีเดียไม่ควรจะเป็นพื้นที่ในการสนทนาเรื่องงานกันอีกต่อไป เพราะอาจมีประเด็นในแง่ของประสิทธิภาพและความปลอดภัย การเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ย่อมต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และปรับตัว เตรียมตัว อีกทั้งองค์กรจะต้องหาสมดุลระหว่างการทำให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลของบริษัทนอกสถานที่กับการป้องกันไม่ให้ข้อมูลเหล่านั้นรั่วไหลให้ได้
โอกาสในธุรกิจ
คุณสันติมองว่าในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส มีหลายบริษัทที่สามารถพลิกขึ้นมาเป็นดาวรุ่งในช่วงวิกฤตได้ และหลายๆ ธุรกิจมีช่องทางออนไลน์ สามารถทำ e-Commerce หรือขายของออนไลน์ได้ โดยไม่ได้มีข้อจำกัดที่จะขายของได้แค่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งอีกต่อไป ทุกคนมีโอกาสในการขยายกลุ่มลูกค้าออกไปได้แบบไม่จำกัด แต่ทั้งหมดนี้ จะต้องกลับไปตระหนักสองเรื่องคือ ธุรกิจจะทำความรู้จักหรือทำความเข้าใจลูกค้าได้อย่างไร และในขณะเดียวกัน จะช่วยให้พนักงานของเราเข้าถึงเครื่องมือหรือช่วยให้มีความพร้อมในการรับมือกับลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้อย่างไรบ้าง
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด