สรุปประเด็นความท้าทายและโซลูชั่นการพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองอัจฉริยะ ด้วยเทคโนโลยีกล้องวงจรปิด AIoT Video Solutions และการเอา Data มาขับเคลื่อนการพัฒนา จากงาน “ปลดล็อกปัญหาเมืองด้วย AIoT Video Solutions” ด้วยความร่วมมือระหว่าง Bosch และ Techsauce
รวม speakers ผู้เชี่ยวชาญใน AIoT Video Solutions และการจัดการ Data เพื่อแก้ปัญหาเมือง
คุณเอกรินทร์เริ่มต้นการเสวนาด้วยการเล่าถึงประสบการณ์และความตั้งใจของ Bosch ซึ่งดำเนินธุรกิจมามากกว่า 135 ปี และปัจจุบันมุ่งมั่นจะเป็นบริษัทผู้นำทางด้าน AIoT อีกทั้งมีวิสัยทัศน์ในการจะทำธุรกิจควบคู่ไปกับความยั่งยืนของโลก โดยมีเป้าหมายจะเป็นบริษัท CO2 Neutral (การเป็นกลางทางคาร์บอน) ซึ่งหมายถึงการสร้างผลิตภัณฑ์ การให้บริการ หรือการทำกิจกรรมใดๆ ของบริษัทที่มีการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเท่ากับศูนย์ มุ่งเน้นทำธุรกิจ ใน 4 ด้าน ด้วยกัน
นอกจากนั้นคุณเอกรินทร์ได้กล่าวถึงความมุ่งมั่นของบริษัท ในการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและความยั่งยืนให้มากที่สุด
“เรามีการลงทุนด้าน R&D ค่อนข้างมาก ต่อปีจะมีการแบ่งผลประกอบการประมาณ 10% หรือหลายพันล้านยูโร ถ้าคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณหลักแสนล้านบาทต่อปี เพื่อที่จะมั่นใจว่าสินค้าและโซลูชั่นของเราจะตอบโจทย์ทั้งโลกในปัจจุบันและอนาคต”
สำหรับความสำคัญของ Data และเทคโนโลยีกล้องวงจรปิด คุณเอกรินทร์กล่าวว่าปัจจุบันข้อมูลมีมูลค่าเปรียบเสมือนน้ำมัน และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก็มีมูลค่าเทียบเท่ากับพลังงานไฟฟ้าในโลกยุคใหม่ เพราะฉะนั้นกล้องวงจรปิดจึงเป็นเสมือน AI device ตัวหนึ่ง ที่สามารถเก็บข้อมูลภาพ และแปลงไปเป็นข้อมูลเชิงสถิติมาใช้ในการบริหารเมือง ทั้งในเชิงความปลอดภัย การจัดการปัญหาการจราจร กระทั่งการโปรโมตการท่องเที่ยว
กล้องวงจรปิดเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ตามการเติบโตของเทคโนโลยีในแต่ละยุคสมัย ตั้งแต่เป็นแอนะล็อก จนกลายเป็นดิจิทัล และกลายมาเป็น Deep learning ในปัจจุบัน โดยคุณเอกรินทร์กล่าวว่าปัจจุบันกล้องวงจรปิดกลายเป็นอุปกรณ์ Andriod based นั่นหมายถึงเราสามารถดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชันต่างๆ ลงไปในกล้อง มาใช้งานได้ตามความต้องการ เสมือนเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง ซึ่งในวงการกล้องจะมี Application Strore ของตัวเองที่ชื่อว่า Azena Store
โดยคุณเอกรินทร์ได้ยกตัวอย่างกล้องวงจรปิดของ Bosch ที่มี Video Analytic อยู่ในตัวกล้อง ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ทำให้กล้องมีความสามารถด้าน AI สามารถเก็บข้อมูลเชิงลึก เพื่อนำไปใช้วิเคราะห์ต่อได้ เช่น การนับปริมาณรถยนต์บนถนน การตรวจจับรถยนต์ที่ทำผิดกฎจราจร เป็นต้น ทำให้ปัจจุบันกล้องมีความสามารถมากกว่าดวงตาของมนุษย์ ที่สามารถแยกแยะวัตถุต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ
“กล้องไม่ต่างจากดวงตาของคน ที่มองเห็นภาพและเข้าใจจาก Chip set ในตัวกล้อง และเหมือนคนที่มีสมองในการวิเคราะห์ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กล้องจะเห็นภาพเหมือนที่คนเห็น” คุณเอกรินทร์กล่าว
สำหรับ Bosch เอง ก็มุ่งมั่นจะเป็นผู้ผลิตกล้องวงจรปิด ที่เป็น AIoT camera โดยคำนึงถึงสามด้านหลัก
วิวัฒนาการของกล้องในปัจจุบัน ทำให้กล้องวงจรปิดสามารถดูแลความปลอดภัยของเมืองได้ตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง หรือตลอดเวลาแทนการใช้มนุษย์ ซึ่งกล้องวงจรปิดที่เป็น AIoT จะสามารถส่งสัญญาณแจ้งเตือนเมื่อมีเหตุเกิดได้ทันท่วงที นอกจากนั้นด้วยความสามารถในการบันทึกและวิเคราะห์ภาพ ทำให้กล้องวงจรปิดเป็นมากกว่าอุปกรณ์ดูแลด้านความปลอดภัย เราสามารถใช้กล้องเป็น Marketing tools ได้ หากเราทำให้เมืองมีความปลอดภัย ด้วยระบบกล้องวงจรปิด ก็จะเกิดความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวและผู้คนในเมือง และจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมได้
ในด้านการจัดการจราจร เมื่อกล้องวงจรปิดสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกได้ ทำให้เราสามารถบริหารจัดการจราจรได้ดีขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าการจราจรที่ดีขึ้น ย่อมทำให้การไปถึงจุดหมายของการเดินทางเร็วขึ้น และเช่นเดียวกันก็จะช่วยลดเวลาในการใช้รถยนต์ และลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์ได้
คุณเอกรินทร์ได้ยกตัวอย่างการใช้งานโซลูชั่นกล้องวงจรปิดของ Bosch ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และภูเก็ต
จังหวัดเชียงใหม่
จังหวัดภูเก็ต
คุณเอกรินทร์ได้ยกตัวอย่าง กล้องวงจรปิดของ Bosch ที่เป็น Open camera platform ชื่อรุ่นว่า INTEOX ซึ่งเปิดโอกาสให้ทั้งนักพัฒนาและผู้ที่มีความสามารถทาง Supply developer เข้ามาเขียนแอปพลิเคชันและวางขายใน store ได้จาก Azena Aplication Store ซึ่งวันนี้คุณ Lori Chou Business Development Manager , APAC บริษัท Azena ได้แนะนำให้เรารู้จักกับ Azena Application Store ที่เกิดจากความต้องการจะให้คำจำกัดความใหม่สำหรับ Video Analytics หรือระบบวิเคราะห์ภาพ และต้องการให้มีพื้นที่ที่จะสามารถเชื่อมโยงทั้งผู้ผลิตกล้อง ผู้วางระบบ และลูกค้าเข้ามาไว้ใน ecosystem เดียวกัน โดย Azena Application Store เป็นแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุดในอุตสาหกรรมรักษาความปลอดภัย ที่มีแอปพลิเคชันสำหรับโซลูชันหลากหลายรูปแบบ เพื่อบริการลูกค้าและ Integrators ทั่วโลก ซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคมในปีที่ผ่านมา และกำลังจะเข้าตลาดประเทศไทยเร็วๆ นี้
ทั้งนี้คุณ Lori กล่าวว่าวิสัยทัศน์ขององค์กรคือการสร้างแพลตฟอร์มเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมเข้าไว้ด้วยกัน โดยเชื่อว่าจะสามารถให้ประโยชน์กับผู้ใช้งานได้สามข้อหลัก
จากนั้นคุณ Lori ได้ยกตัวอย่างแอปพลิเคชันที่มีชื่อว่า FLOW traffic ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันสำหรับกล้องที่น่าสนใจในการสนับสนุนการพัฒนา Smart City และได้สาธิตการใช้งาน Azena Application Store ให้ผู้เข้าร่วมได้เห็นถึงภาพรวมการใช้งานที่สะดวก เข้าใจง่าย และแอปพลิเคชันที่น่าสนใจให้เลือกซื้อและทดลองใช้ฟรี
ซึ่งคุณเอกรินทร์ได้กล่าวเสริมว่า Azena application store ก็จะเหมือนกันกับ App store หรือ Play store สำหรับกล้องวงจรปิด ซึ่งบริษัทผู้ผลิตและผู้พัฒนากล้องที่เป็น Android based ทั้งหมด สามารถไปใช้ประโยชน์จากแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้ และ Application Store นี้ยังเปิดโอกาสให้กลุ่ม Startup สามารถเขียนแอปพลิเคชั่นแล้วนำไปขายได้ เพื่อสร้างโซลูชั่นใหม่ๆ ที่กล้องสามารถรองรับได้ ให้ตรงกับโจทย์ปัญหาที่เราเจอมากขึ้น
ดร. ธีรณี กล่าวว่าข้อมูลมีความสำคัญมากในการบริหารจัดการเมือง หากเราสังเกตจากช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาดหนักในประเทศไทย ซึ่ง ณ ขณะนั้นการบริหารจัดการเตียงเป็นไปอย่างยากลำบาก โดยการใช้ Data ทำให้แต่ละหน่วยงานภาครัฐหรือโรงพยาบาลสามารถใช้เพื่อบรรเทาสถานการณ์ตอนนั้นได้ ซึ่งหากเมืองมี Data Platform ที่สามารถรวบรวมทุกข้อมูลมาอยู่ในที่เดียวกัน จะทำให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในยุค Internet of people ยุคที่คนใช้โซเชียลมีเดีย ถ้ารัฐสามารถเข้าถึงข้อมูลความคิดเห็นของประชาชนแล้วมาปรับปรุงการบริหารให้ดีขึ้นได้ก็จะดีมาก
นอกจากนั้น ดร.ธีรณียังได้ยกตัวอย่างหากเราสามารถใช้ AIoT กับการติดตั้งอุปกรณ์ติดตามตำแหน่งบนชุดตรวจโควิดด้วยตัวเอง หรือ Antigen test kit ทุกครั้งที่ตรวจแล้วมีผลบวก เราจะมีข้อมูลส่งไปถึง Data center หรือหากเราสามารถใช้โซลูชั่นกล้องในการแจ้งเตือนบริเวณที่มีคนจำนวนมาก เพื่อดำเนินการตามนโยบายเว้นระยะห่างในช่วงโควิด ต่อให้เมืองใหญ่อย่างกรุงเทพ การบริหารจัดการก็จะง่ายขึ้น
ในมิติของการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล ดร.ธีรณีได้กล่าวถึง ความสำคัญของการมี Data Platform ในการพัฒนาเมือง เพราะปัจจุบันเรามีแหล่งข้อมูลมากมาย ไม่ว่าจะจากกล้องวงจรปิด หรือข้อมูลจากรถบัสสาธารณะเป็นต้น หากเราสามารถดึงข้อมูลทั้งหมดมาไว้ที่ Data Platform
เราจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น
“City data platform ในเมืองๆ หนึ่ง จะมีข้อมูลทั้งด้านสาธารณสุข การศึกษา ประกันสังคมและหลายๆ เรื่อง ถ้าเราสามารถรวมให้เกิดเป็น Warehouse แล้วมีการเก็บ Data อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้องวงจรปิด ข้อมูลพิกัด หรือข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย เข้ามาใน Data Lake เราสามารถจัดทำ Data Catalog เพื่อบอกว่าเรามี Data อะไรจาก City data platform นี้บ้าง เราต้องติดต่อหน่วยงานภายนอกใดบ้างเข้ามาสนับสนุน แล้วสร้างให้เกิด Data Service ที่ให้บริการประชาชน บริการรัฐด้วยกัน จะทำเป็นลักษณะ analytics service ก็ได้ จะทำเป็นลักษณะ data portal หรือกระทั่งการบริการ Mobile App ก็ได้ นี่คือคอนเซปต์ของ City data platform”
ท้ายที่สุดแล้ว ดร.ธีรณีได้เน้นย้ำประโยชน์ของการมี City data platform ที่จะเข้ามาเป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์และตัดสินใจ โดยยกตัวอย่างภาพรวมการกระจายตัวในเขต EEC และที่ตั้งโรงพยาบาลและโรงงาน ซึ่งจากภาพเราจะตัดสินใจได้ทันทีว่า หากเราจะสร้างสถานีอนามัยเพิ่ม ควรจะตั้งในจุดไหน
นอกจากนั้นยังได้ยกตัวอย่าง Pre-crime programs ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่คุณเอกรินทร์กล่าวและสอดคล้องกับโซลูชั่นของ Bosch โดยดร.ธีรณียกตัวอย่างว่า หากสถานีตำรวจมีข้อมูลและประวัติอาชญากรรมในรูปแบบ Digital Data เมื่อนำมาบูรณาการใช้กับ Real time camera จะทำให้เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าพื้นที่ไหนมักจะเกิดอาชญากรรมประเภทไหน ช่วงวันและเวลาใด สุดท้ายแล้วจะทำให้สามารถกำหนดพื้นที่เสี่ยงและจัดบุคลากรลงมาตรวจตรา พื้นที่ดังกล่าวมากขึ้น เพื่อลดโอกาสการเกิดอาชญากรรม
สำหรับแนวทางของการใช้ Data จากภาครัฐในอนาคต ดร.ธีรณีเผยว่า รัฐบาลกำลังทำโครงการที่ชื่อว่า Big rock ซึ่งเป็นแผนขับเคลื่อนกิจกรรมปฏิรูปประเทศที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทางด้าน Data ตอนนี้รัฐบาลมุ่งเน้น Data ทางสาธารณสุขก่อนอันดับแรก ตามมาด้วยการบริหารจัดการน้ำและการเกษตร การท่องเที่ยว การทำให้ SMEs มีรายได้มากขึ้นผ่านการทำโลจิสติกส์ และสุดท้ายคือการส่งเสริม startup
ดร. ณภัทรได้กล่าวเสริมถึงความสำคัญของโซลูชันกล้องวงจรปิด ซี่งนับเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสร้างเมืองอัจฉริยะเพราะทำให้เราเข้าถึงต้นตอของข้อมูล ซึ่งการมีข้อมูลช่วยให้เราสามารถนำไปวัดผล เพื่อประเมินการทำแผนและนโยบายได้ เพราะหากไม่มีการวัดผลแล้ว เราคงไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำไปนั้นดีจริงหรือไม่
หากถามว่าเราจะทำ Smart City ไปเพื่ออะไร ดร. ณภัทรกล่าวว่าหากถามประชาชน ว่าชีวิตที่ดีในเมืองคืออะไร ส่วนใหญ่ก็จะได้คำตอบที่ไม่ได้ไปไกลจาก ความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน สุขภาพ ซึ่งสำหรับดร.ณภัทรมองว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างพื้นฐาน แต่บริหารจัดการยาก ซึ่งในอนาคตหากความต้องการและพฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเดินทาง หรือเรื่องอื่นๆ ทำให้เวลาจะบริหาร ถ้าเราไม่มีข้อมูลเลย เราจะวัดยากมากว่าเราควรทำอะไร แล้วสิ่งที่เราทำไปมันได้ผลจริงไหม
เรื่องหนึ่งที่ ดร.ณภัทรให้ความสำคัญและมองว่าโซลูชั่นเรื่องกล้องจะสามารถเข้ามาตอบโจทย์ได้ นั่นก็คือ คือเรื่องจำนวนผู้เสียชีวิตสูงจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งเป็นประเด็นที่แก้ยาก ทำให้กล้องวงจรปิดธรรมดาไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป เพราะเราต้องการกล้องที่สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างละเอียดด้วย ซี่งโซลูชั่นกล้องวงจรปิด ที่เป็น AIoT Video Solutions จะเข้ามาตอบโจทย์ทั้งในแง่ของการดูแลสอดส่อง เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ และการจัดการจราจร ทั้งนี้ดร.ณภัทรได้กล่าวเสริมว่า นอกเหนือจากโซลูชั่นเรื่องกล้อง แล้วยังมีอีกหลายแนวทางในการแก้ไขปัญหาเรื่องรถติด ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุน Work from home หรือการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด