ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถก้าวขึ้นจากประเทศที่มีรายได้ต่ำไปสู่ประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูงได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ นั่นคือ "กับดักรายได้ปานกลาง" ซึ่งหมายถึงสภาวะที่ประเทศไม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจต่อไปจนกลายเป็นประเทศที่มีรายได้สูงได้
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยติดอยู่ในกับดักนี้คือ Productivity ที่ชะลอตัว ส่งผลให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลง หากไม่สามารถยกระดับนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจได้ ประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและเสียโอกาสในการแข่งขันในเวทีโลก
ในงาน Thailand Economic Monitor February 2025 Unleashing Growth: Innovation, SMEs and Startups โดย World Bank นี้ Mr. Cristian Quijada Torres Senior Private Sector Development Specialist จาก World Bank ร่วมอภิปรายในหัวข้อ Innovation in a Changing World: Empowering SMEs And Startup วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน อุปสรรคที่ทำให้การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีในประเทศยังล่าช้า รวมถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาโดยอ้างอิงจากกรณีศึกษาของประเทศที่สามารถก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางได้สำเร็จ
บริบทของประเทศไทยและความท้าทายทางเศรษฐกิจ
ประเทศไทยเคยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงในช่วงปี 1980–1990 โดยขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย Labor-intensive industries และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตช้าลง อันเนื่องมาจาก
- การพึ่งพาแรงงานราคาถูกมากเกินไป ทำให้ไม่สามารถเพิ่มมูลค่าของสินค้าและบริการได้
- การขาดการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้อุตสาหกรรมไม่สามารถแข่งขันในระดับโลกได้
- โครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อต่อการแข่งขัน โดยมีธุรกิจขนาดใหญ่ไม่กี่กลุ่มครอบครองตลาด
- การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะสูง ซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
ประเทศไทยจึงต้องเร่งปรับตัวเพื่อนำ นวัตกรรมและเทคโนโลยี มาใช้ในการเพิ่มผลิตภาพและยกระดับเศรษฐกิจให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว
นวัตกรรม: กุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ
นวัตกรรมถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนประสิทธิภาพของประเทศ หลายประเทศที่สามารถพัฒนาเป็นประเทศที่มีรายได้สูงได้สำเร็จล้วนให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรม และประเทศไทยก็สามารถทำได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมไม่ได้หมายถึงเพียงแค่เทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น คอมพิวเตอร์ควอนตัมหรือสมาร์ทโฟนเท่านั้น แต่นวัตกรรมสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ เช่น
- นวัตกรรมผลิตภัณฑ์: การพัฒนาเทคโนโลยีหรือสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น รถยนต์ไฟฟ้า หุ่นยนต์ AI หรือยาเวชภัณฑ์
- นวัตกรรมกระบวนการผลิต: การนำระบบอัตโนมัติหรือ AI มาใช้เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
- นวัตกรรมทางธุรกิจ: การเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจ เช่น การค้าปลีกออนไลน์ หรือบริการ Subscription
ในบริบทของประเทศไทย SME และสตาร์ทอัพมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจาก SME คิดเป็น 90% ของธุรกิจทั้งหมดในประเทศ มีส่วนสร้าง GDP ประมาณ 30% และจ้างงานกว่า 70% ของแรงงานทั้งหมด แต่ประเทศไทยยังมีอัตราการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรมต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์หรือเกาหลีใต้
อุปสรรคที่ขัดขวางการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีในไทย
แม้ว่าประเทศไทยจะตระหนักถึงความสำคัญของนวัตกรรม แต่ยังคงมีปัจจัยหลายประการที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ได้แก่
1.การลงทุนด้าน R&D ที่ต่ำ
- ประเทศไทยลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพียง 1% ของ GDP ขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น เกาหลีใต้และญี่ปุ่น ลงทุนมากกว่า 3-4% ของ GDP
- ภาคเอกชนไทยยังลงทุนใน R&D น้อย เนื่องจากขาดแรงจูงใจและการสนับสนุนจากภาครัฐ
2.การขาดบุคลากรที่มีทักษะด้านเทคโนโลยี
- ปัจจุบัน แรงงานไทยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นและยังไม่มีทักษะที่ตรงกับความต้องการของเศรษฐกิจดิจิทัล
- ขาดหลักสูตรการศึกษาที่ส่งเสริมทักษะด้าน AI, Big Data, Cloud Computing และ Deep Tech
3.ข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SME และสตาร์ทอัพ
- ธุรกิจนวัตกรรมต้องใช้เงินลงทุนสูงและมีความเสี่ยง ทำให้ธนาคารและนักลงทุนยังลังเลในการให้เงินสนับสนุน
- ระบบนิเวศของ Venture Capital (VC) และ Angel Investor ในประเทศไทยยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร
กรณีศึกษาจากเกาหลีใต้: การพัฒนาเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม
เกาหลีใต้ เป็นตัวอย่างที่ดีของประเทศที่สามารถก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางได้สำเร็จ โดยเริ่มจากการ มุ่งเน้นอุตสาหกรรมหนัก ในช่วงแรก ก่อนจะเปลี่ยนมาสู่การ ดูดซับและพัฒนาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และในที่สุด สร้างนวัตกรรมของตนเอง
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ซัมซุง (Samsung) ซึ่งเริ่มจากการซื้อลิขสิทธิ์เทคโนโลยีจากญี่ปุ่น ก่อนจะค่อยๆ พัฒนาขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีและกลายเป็นผู้นำระดับโลกในปัจจุบัน สิ่งสำคัญที่เกาหลีใต้ทำได้ดีคือ การปรับเปลี่ยนนโยบายและยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป โดยใช้กลยุทธ์ดังนี้
- มุ่งเน้นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ และไบโอเทค
- ลงทุนอย่างหนักใน R&D โดยภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันพัฒนานวัตกรรม
- สนับสนุนสตาร์ทอัพและ SME ผ่านกองทุนและนโยบายภาครัฐที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจใหม่
แนวทางการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีในประเทศไทย
ประเทศไทยสามารถนำบทเรียนจากเกาหลีใต้มาใช้ผ่านแนวทางต่อไปนี้
1.เพิ่มการลงทุนด้าน R&D และนโยบายนวัตกรรม
- จัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
- ให้แรงจูงใจทางภาษีแก่ภาคเอกชนที่ลงทุนใน R&D
2.ส่งเสริม SME และสตาร์ทอัพให้เข้าถึงเทคโนโลยีและเงินทุน
- พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ธุรกิจสามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างเต็มที่
- ส่งเสริมการเชื่อมโยง SME กับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ
3.พัฒนาแรงงานให้มีทักษะด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
- ปรับหลักสูตรการศึกษาให้เน้นทักษะ AI, Data Science และ IoT
- สนับสนุนโครงการ Upskill & Reskill ให้แรงงานสามารถปรับตัวเข้ากับเศรษฐกิจดิจิทัล
การนำ นวัตกรรมและเทคโนโลยี มาใช้เป็นเครื่องมือหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจไทย เป็นแนวทางที่จำเป็นเพื่อให้ประเทศสามารถก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางได้สำเร็จ ประเทศไทยต้องเร่งลงทุนใน R&D ส่งเสริม SME และสตาร์ทอัพ พัฒนาแรงงาน และปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เอื้อต่อการแข่งขัน หากดำเนินการอย่างจริงจัง ไทยก็มีศักยภาพที่จะก้าวเป็นประเทศที่มีรายได้สูงในอนาคต
*อ้างอิงเนื้อหาจาก Session Innovation in a Changing World: Empowering SMEs And Startup ในงาน Thailand Economic Monitor February 2025 Unleashing Growth: Innovation, SMEs and Startups โดย World Bank