ก้าวสำคัญของจีนสู่ผู้นำ AI ด้าน 'เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้า' Facial Recognition | Techsauce

ก้าวสำคัญของจีนสู่ผู้นำ AI ด้าน 'เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้า' Facial Recognition

แต่ก่อนเมื่อพูดถึงผู้นำปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence) ด้านเทคโนโลยีจดจำใบหน้า (Facial Recognition) หลายคนอาจนึกถึงบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากอเมริกาอย่าง Microsoft, Facebook, Amazon หรือ Google แต่จะเห็นได้ว่าล่าสุดประเทศจีนได้ก้าวขึ้นเป็นประเทศแถวหน้าในด้านปัญญาประดิษฐ์ของโลกไปแล้ว

บทความนี้แปลและเรียบเรียงจากบทความของ Michael K. Spencer

จีนกับการก้าวขึ้นเป็นผู้นำยุค Data

ประเทศจีนมี Startup ด้านเทคโนโลยีจดจำใบหน้าที่แม่นยำที่สุดในโลก สำหรับใครที่อยู่ในวงการ อาจจะพอทราบว่าจีนชนะตั้งแต่มี SenseTime และ Face ++ ที่ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ดูยากจะตามทัน อีกทั้งการที่จีนประกาศแผนการเพื่อก้าวเป็นผู้นำโลกด้าน A.I. ให้ได้ภายใน 2030 รวมไปถึงจริยธรรมของปัญญาประดิษฐ์ภายในปี 2020 นั้นก็ได้สร้างการตื่นตัวเฝ้าระวังไปทั้งโลก

การที่ระบบติดตามใบหน้ากำลังมาเข้าอยู่ในชีวิตประจำวันของพลเมืองโลก เป็นเพราะไม่ได้การควบคุมระบบทุนนิยมอย่างอย่างรัดกุม ตอนนี้นวัตกรรมของจีนเริ่มพัฒนาไปข้างหน้า และแนวคิดด้านจริยธรรมก็ได้แทรกซึมไปทั่วโลกเช่นกัน

ในโลกที่มีการให้ค่าธุรกิจและเทคโนโลยีมากกว่าการให้ความสำคัญด้านจริยธรรมและกฏข้อบังคับ ดูเหมือนว่ามันได้แผ่ขยายเข้าไปในอเมริกา ที่ได้มีการทำการเก็บข้อมูลมหาศาลแบบเรียลไทม์เช่นกัน อย่างในตอนนี้ทาง Facebook เองก็ได้มีการให้คะแนนโปรไฟล์ผู้ใช้งานแล้ว

ทำให้เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของการเก็บข้อมูลผู้บริโภคที่อาจนำไปสู่การเกิดนวัตกรรม AI ใหม่ ๆ มันไม่เพียงเป็นการหาประโยชน์จากความสนใจส่วนตัวของเราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทางด้านอารมณ์และความต้องการพื้นฐานของเราด้วย ล่าสุดการที่ตำรวจอเมริกันนำซอฟต์แวร์จดจำใบหน้าของจีนมาใช้ ก็เป็นอีกสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร

‘Safe City’ อนาคตกับเมืองที่ปลอดภัยกว่า

เครื่องมือเฝ้าระวังนั้นก็เหมือนกับ Skynet ซึ่งเป็นระบบเฝ้าระวังที่ใหญ่ที่สุดในโลกของจีน มันอาจจะฟังดูเหมือนกำลังอยู่ในโลกดิสโทเปีย แต่มันคือความจริงในโลกทุนนิยมเทคโนโลยี รัฐบาลจีนสามารถให้เงินทุน Startup ที่จะสามารถ scale ได้เร็วกว่า Startup ของอเมริกาหลายเท่า ตั้งแต่ด้าน Biotech จนถึงการให้บริการดูแลสุขภาพ เราอาจจะได้เห็นหลายนวัตกรรมสุดล้ำจากประเทศจีนเรื่อยๆ

อ่านเพิ่มเติม: SenseTime จากจีนกลายเป็น Startup ด้าน AI ที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก

เมื่อสงครามการค้าได้เดินหน้ามาเป็นสงครามเทคโนโลยี จีนได้ก้าวเป็นมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างล่าสุด 'ระบบสกายเน็ต' (Skynet) ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Pingan Chengshi หรือ Safe Cities โดยเมื่อปีที่แล้วมีการอ้างว่า ระบบนี้สามารถเชื่อมต่อกับกล้อง 170 ล้านเครื่องทั่วประเทศ โดยภายในปี 2020 จะมีการติดตั้งเจ้าเครื่องนี้อีกกว่า 400 ล้านเครื่อง

อ่านเพิ่มเติม: สงครามเย็นด้านเทคโนโลยีระหว่างจีนและสหรัฐ

จีนมีแผนที่จะสามารถระบุตัวตนของคนทั้งประเทศ ในทุกที่ทุกเวลา ภายใน 3 วินาที

จากสงครามเทคโนโลยีสู่สงคราม AI

สงคราม AI จีน สหรัฐ

สองผู้นำ Startups ด้าน Facial Recognition ของจีนอย่าง SenseTime และ Megvii กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มการจดจำใบหน้าแข่งขันโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยในปี 2019 เมื่อเทียบกับใน Silicon Valley แล้ว Startup จีนได้รับการสนับสนุนจากทั้ง VC บวกกับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลจำนวนมหาศาล

อ่านเพิ่มเติม: การแข่งขันด้าน AI ระหว่างสหรัฐและจีน สรุปแล้วใครเหนือกว่า?

ทั้งทาง Facebook และ Google กำลังหารือว่าจะดำเนินตามแผนรัฐบาลจีนดีหรือไม่ เพราะในตอนนี้ธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ ของจีนได้นำเทคโนโลยี AI ที่ดีที่สุดมาใช้ ทางด้าน Alibaba และ Huawei เองก็ได้มีการขยายการเติบโตด้าน Cloud ซึ่งในไม่ช้าพวกเขาก็จะสามารถตาม Amazon และ Microsoft ได้ทัน

ในตอนนี้ SenseTime และ Megvii ยังคงมีมูลค่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และจะเพิ่มขึ้นไปอีกในอนาคต นี่เป็นเพราะเทคโนโลยีจดจำใบหน้าที่ทำการเก็บข้อมูลทุกอย่าง ที่จะเป็นอนาคตขอการบริโภคและโลกทุนนิยม

ขณะที่ซอฟต์แวร์จดจำใบหน้าดูเหมือนจะมีความเหยียดสีผิวอยู่ มันทำงานได้ไม่ดีเมื่อต้องทำการตรวจคนผิวสี อย่างไรก็ตาม มีการอ้างว่า เทคโนโลยีของ Hikvision (ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชั่นและผลิตภัณฑ์กล้องวงจรปิดจากจีน) สามารถทำการตรวจและติดตามใบหน้า ลักษณะท่าทาง และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพกับคนไม่จำกัดเพศสภาพและสีผิว

ผู้ให้บริการมือถือในสหรัฐอเมริกามีการขายข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งของผู้ใช้งาน ทำการเก็บข้อมูลนั้น ๆ ที่ดูเหมือนจะลดอิสรภาพของเราไปเรื่อย ๆ เลยทำให้เป็นที่น่าสงสัยว่าสหรัฐฯ มีความสามารถในการสร้างไฟร์วอลล์ต่อต้านจีนสำหรับเทคโนโลยีประเภทนี้หรือเปล่า

การแบนหัวเหว่ย (Huawei) ด้าน 5G ก็อีกเรื่อง แต่ตอนนี้จะทำการแบนบริษัทที่กำลังมาแรงของจีนอย่าง ByteDance เจ้าของ Tik Tok ได้อย่างไร?

ชัดเจนว่าการแข่งขันด้านนวัตกรรมทำให้จีนนำโด่ง ทำให้ในตอนนี้ถือว่าจีนได้ชนะสงครามการค้า (Trade war) ไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากฝั่งอเมริกาไม่ได้ทำการควบคุม Amazon, Microsoft, Google หรือ Facebook อย่างที่ควรจะเป็น นี่ทำให้การสร้างนวัตกรรมในสหรัฐต้องชะงัก ซึ่งนี่ทำให้ดูเหมือนว่าฝั่งตะวันตกกำลังถูกบังคับให้ต้องลอกเลียนแบบจีนเพื่อที่จะตามให้ทันหรือเปล่า?

 

บทความนี้แปลและเรียบเรียงจากบทความ  Chinese Facial Recognition Will Take over the World in 2019 ของ Michael K. Spencer

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

เปิดกลยุทธ์ธุรกิจยุคใหม่ พลิกข้อมูล สู่ขุมทรัพย์ด้วย analyticX ด้วยพลัง Telco Data Insights และ GenAI

ยุคนี้ใคร ๆ ก็พูดถึง Data แต่จะใช้ Data อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่างหากคือกุญแจสำคัญ! ในสัมมนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ "Unlocking Data-Driven Decisions with Telecom Data Insights" ที่จั...

Responsive image

‘UOB Sustainability Compass’ เครื่องมือออนไลน์ด้านความยั่งยืน หนุน SMEs เปลี่ยน Vision เป็น Action

บทสัมภาษณ์ คุณอัมพร ทรัพย์จินดาวงศ์ และคุณพณิตตรา เวชชาชีวะ เกี่ยวกับ ‘UOB Sustainability Compass’ เครื่องมือออนไลน์ที่เข้ามาช่วย SMEs เริ่มดำเนินการด้านความยั่งยืนอย่างเข้าใจและไม...

Responsive image

Intel พลาดอะไรไป ? ทำไมถึงต้องเปลี่ยน CEO กะทันหัน ? ถอดบทเรียนราคาแพงจากยุค Pat Gensinger

การ ‘เกษียณ’ อย่างกะทันหันของ Pat Gelsinger อดีตซีอีโอ Intel ในต้นเดือนธันวาคม สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการเทคโนโลยี หลายฝ่ายมองว่าเป็นการบีบให้ออกจากบอร์ดบริหาร อันเนื่องมาจากผล...