ทิศทางทีวีดิจิทัลจะเป็นอย่างไร หลัง กสทช. เปิดโอกาสคืนใบอนุญาต? | Techsauce

ทิศทางทีวีดิจิทัลจะเป็นอย่างไร หลัง กสทช. เปิดโอกาสคืนใบอนุญาต?

ในเดือนมกราคม 2019 กสทช. มีมติเรียกคืนคลื่นความถี่ช่วง 700MHz ที่ปัจจุบันใช้ในกิจการทีวีดิจิทัลซึ่งถือเป็นกระบวนการสำคัญสู่การพัฒนา 5G ในกิจการโทรคมนาคม โดยเสนอให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลย้ายไปดำเนินการที่ช่วงคลื่น 470MHz หรือยุติการดำเนินการโดยการคืนใบอนุญาต

จากการวิเคราะห์ปัจจัยทางด้านกลยุทธ์ ความสามารถในการแข่งขัน และเสถียรภาพทางการเงินของผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล อีไอซีประเมินว่า จะมีผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลประมาณ 4 รายที่มีแนวโน้มคืนใบอนุญาต ซึ่งจะไม่ส่งผลต่อภาพรวมอุตสาหกรรมและผู้บริโภคมากนัก เนื่องจากรายได้จากการโฆษณาของทั้ง 4 ช่อง คิดเป็นเพียง 2% ของรายได้โฆษณาทีวีดิจิทัลทั้งหมด ส่วนผู้บริโภคยังมีทางเลือกอื่นในการรับชมโทรทัศน์ทดแทนช่องที่ปิดตัว นอกจากนี้         ผู้ให้บริการโครงข่ายทีวีดิจิทัลจะสูญเสียรายได้เพียงเล็กน้อย ขณะที่ กสทช. จะมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนช่วงคลื่นทั้งหมดราว 2-2.5 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลที่อยู่ในอุตสาหกรรมยังคงเผชิญกับความท้าทายจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ นโยบาย กฎระเบียบและการควบคุมของ กสทช. รวมถึงแนวโน้มพฤติกรรมและความนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ต้องปรับตัวให้ทันต่อสภาวะการแข่งขันในระยะข้างหน้า โดย Omni-Channel การขายลิขสิทธิ์รายการทีวี และ Home Shopping ถือเป็นเทรนด์ในการสร้างรายได้และเพิ่มขีดความสามารถการทำธุรกิจที่เริ่ม เห็นแล้วในปัจจุบัน

อุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางด้านรายได้และต้นทุนส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานของผู้ประกอบการมีแนวโน้มที่จะลดลงต่อเนื่อง ในปัจจุบันอุตสาหกรรมโทรทัศน์มีการออกอากาศในระบบดิจิทัล จำนวนทั้งหมด 22 ช่อง โดยแบ่งเป็น 4 หมวด ได้แก่

  1. เด็กและครอบครัว
  2. ข่าว
  3. Standard Definition (SD)
  4. High Definition (HD) โดยช่องทีวีดิจิทัลมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการโฆษณา

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดทีวีดิจิทัลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมายังอยู่ในสภาวะไม่ดีนักสะท้อนได้จากรายได้รวมมีการหดตัวลงจาก 1.24 แสนล้านบาท ในปี 2014 มาอยู่ที่ 1.19 แสนล้านบาท ในปี 2018 (-6%CAGR) โดยมีสาเหตุจากเศรษฐกิจที่ ผันผวนและการชะลอตัวของกำลังซื้อ ประกอบกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการมีช่องโทรทัศน์ทางเลือกและสื่อออนไลน์ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้นทำให้บริษัทและเจ้าของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ปรับลดงบโฆษณาในช่องทางทีวีลงตามไปด้วย ขณะที่ในระยะกลาง (2019-2021) อีไอซีประเมินว่า อัตรากำไรของธุรกิจ

ทีวีดิจิทัลมีแนวโน้มลดต่ำลง ถึงแม้ว่ารายได้โฆษณาของธุรกิจทีวีดิจิทัลจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

ทีวีดิจิทัลมีแนวโน้มลดต่ำลง ถึงแม้ว่ารายได้โฆษณาของธุรกิจทีวีดิจิทัลจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น 5% CAGR จากการฟื้นตัวสภาพเศรษฐกิจ แต่การแข่งขันระหว่างช่องทีวีและสื่อออนไลน์ที่รุนแรง ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลจึงต้องมีเนื้อหาที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดผู้ชมซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มมากขึ้นและส่งผลให้อัตรากำไรจาก การดำเนินงานปรับตัวลงเล็กน้อยจากราว 10% ในปี 2019 เป็น 8.8% ในปี 2021

รูปที่ 1: มูลค่ารวมตลาดโฆษณา และ รายได้และอัตรากำไรของทีวีดิจิทัล  หน่วย: พันล้านบาท/ ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Nielsen, สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) และ Enlite

หมายเหตุ: สื่อนอกบ้าน ได้แก่ ป้ายบิลบอร์ด ป้ายตามร้านค้า และระบบขนส่งมวลชน, สื่อดั้งเดิม ได้แก่ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และวิทยุ

ขณะที่ กสทช. มีมติเรียกคืนคลื่นความถี่ช่วง 700MHz ที่ใช้ในกิจการทีวีเพื่อนำไปพัฒนา 5G (ในเดือนมกราคม 2019) โดยมีข้อเสนอให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล 2 ทางเลือก ได้แก่

  1. ผู้ประกอบการสามารถย้ายไปดำเนินการที่ช่วงคลื่นที่กำหน
  2. ผู้ประกอบการสามารถคืนใบอนุญาตและยุติการดำเนินการ

นอกจากด้านการใช้คลื่นความถี่ในการส่งสัญญาณทีวีดิจิทัลแล้ว คลื่นความถี่ยังถูกนำไปใช้ในการส่งสัญญาณโทรคมนาคม ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจาก 4G สู่ 5G เพื่อเพิ่มความสามารถในการส่งสัญญาณและข้อมูล โดย International Telecommunication Union (ITU) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำหนดมาตรฐานและประสานงานปฏิบัติการด้านการสื่อสารและบริการทั่วโลกได้กำหนดมาตรฐานของ 5G ให้ใช้คลื่นความถี่ 3 ช่วง ประกอบไปด้วย ช่วงคลื่น ต่ำกว่า 1 GHz 1-6 GHz และ สูงกว่า 6 GHz

ขณะที่ปัจจุบันค่ายมือถือของไทยส่วนใหญ่ยังมีช่วงคลื่นความถี่ต่ำ (ต่ำกว่า 1 GHz) ไม่เพียงพอต่อการพัฒนาเทคโนโลยี 5G อีกทั้งคลื่นความถี่ช่วง 700MHz ยังทับซ้อนกับการใช้งานในการส่งสัญญาณทีวีดิจิทัล เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จึงมีมติเรียกคืนช่วงคลื่น 700MHz ที่ถือเป็นกระบวนการสำคัญในการพัฒนา 5G โดยเป็นการเรียกคืนช่วงคลื่นก่อนใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีดิจิทัลหมดอายุ ในปี 2029 (ในอีก 10 ปีข้างหน้า) และกำหนดให้ใช้ช่วงคลื่น 470-510MHz สำหรับกิจการทีวีดิจิทัล

ทั้งนี้การย้ายช่วงคลื่น 700MHz ของกิจการทีวีเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี 5G เป็นแนวทางเดียวกันกับต่างประเทศ เช่น สเปน เบลเยียม อังกฤษ มาเลเซีย เป็นต้น โดย กสทช. ได้ยื่นข้อเสนอให้กับผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล 2 ทางเลือก ได้แก่

  1. ผู้ประกอบการย้ายไปดำเนินการที่ช่วงคลื่น 470-510MHz และจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตงวดสุดท้ายของราคาประมูลขั้นต่ำและ 2 งวดสุดท้ายของราคาที่เกินกว่าราคาขั้นต่ำ ค่าใช้จ่ายในการเช่าบริการโครงข่ายทีวีระบบดิจิทัล (MUX)ตลอดระยะเวลาใบอนุญาตที่เหลืออยู่  ค่าใช้จ่ายในการสำรวจความนิยมช่องรายการโทรทัศน์ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกิดจากการเรียกคืนคลื่นความถี่
  2. ผู้ประกอบการสามารถยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงขอคืนใบอนุญาตการประกอบกิจการทีวีดิจิทัลเพื่อยุติการดำเนินธุรกิจโดยได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตในส่วนที่เหลือเช่นเดียวกับผู้ประกอบการที่ย้ายไปดำเนินการที่ช่วงคลื่น 470-510MHZ รวมถึงค่าชดเชยที่คาดว่าจะได้รับตามกรอบการพิจารณาของ กสทช.
รูปที่ 2: มาตราการทดแทนแก่ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล/ ที่มา: จากข้อมูลของ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) รูปที่ 3: ตารางการจัดสรรคลื่นความถี่ในปัจจุบันและในอนาคต/ หน่วย: เมกะเฮิรตซ์/ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

อีไอซีประเมินว่าประมาณ 4 ช่องที่มีแนวโน้มคืนใบอนุญาต จากการวิเคราะห์ 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ กลยุทธ์ ความสามารถในการแข่งขัน และเสถียรภาพทางการเงิน

จากการศึกษากรณีตัวอย่าง การคืนใบอนุญาตของบริษัทไทยทีวีและกรณีศึกษาต่างประเทศพบว่า 3 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการคืนใบอนุญาตของผู้ประกอบกิจการทีวีดิจิตอล ได้แก่

  1. กลยุทธ์ ซึ่งประกอบด้วย เนื้อหารายการ (Content) ช่องทางการรับชมรายการที่มากกว่า 1 ช่องทาง (Multi-screen strategy) เช่น เว็บไซต์ของช่อง YouTube Facebook เป็นต้น และพันธมิตรทางธุรกิจ (Partnership)
  2. ความสามารถในการแข่งขัน โดยมีเรตติ้งเป็นตัวตัดสินความนิยมของรายการทีวี
  3. เสถียรภาพทางการเงิน สะท้อนจากการเติบโตของรายได้ ผลกำไรจากการดำเนินการ และอัตราส่วนของหนี้สินต่อของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity ratio)

จากปัจจัยข้างต้น อีไอซีประเมินว่ามี 4 ช่องทีวีที่มีแนวโน้มในการคืนใบอนุญาต 3 ช่องอยู่ในหมวดข่าว และอีก 1 ช่องอยู่ในหมวดเด็กและครอบครัว โดยพบว่าปัจจัยที่สำคัญในการคืนใบอนุญาตนั้นมาจากรูปแบบและการนำเสนอรายการที่ไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ชมส่วนใหญ่จึงส่งผลให้เรตติ้งต่ำกว่าช่องอื่นที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ซึ่งสะท้อนถึงรายได้และอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ลดลงต่อเนื่อง นอกจากนี้ สำหรับผู้เล่นบางรายที่ถือใบอนุญาตมากกว่า 1 ใบ การคืนใบอนุญาตบางส่วนอาจส่งผลบวกมากกว่าผู้เล่นรายอื่น ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานลดลงพร้อมทั้ง การได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมของใบอนุญาตที่เหลือ ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรในอนาคตเพิ่มขึ้น

การคืนใบอนุญาตจะไม่ส่งผลต่อภาพรวมอุตสาหกรรมและผู้บริโภคมากนัก โดยรายได้จากการโฆษณาของทั้ง 4 ช่องที่คืนใบอนุญาต คิดเป็นเพียง 2% ของมูลค่าโฆษณาทีวีทั้งหมด คาดว่าจะตกอยู่ที่ช่องที่เหลือและสื่อออนไลน์ ส่วนผู้บริโภคยังมีทางเลือกอื่นทดแทนช่องที่ปิดตัว กระบวนการคืนใบอนุญาตจะเกิดขึ้นในช่วง กุมภาพันธ์ 2020 ถึง ธันวาคม 2020 ดังนั้นผลกระทบของการคืนใบอนุญาต จะเริ่มเกิดขึ้นในปี2021 โดยอีไอซีประเมินว่า รายได้จากการโฆษณาของทั้ง 4 ช่องทีวีดิจิทัลที่มีแนวโน้มคืนใบอนุญาตจะอยู่ที่ราว 1.2 พันล้านบาท หรือเพียง 2% ของมูลค่าโฆษณารวมในตลาดทีวีดิจิทัล ดังนั้นการคืนใบอนุญาตจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมโทรทัศน์มากนัก

ขณะที่อานิสงค์ของรายได้จากการโฆษณาส่วนนี้จะไปตกอยู่ที่ช่องที่เหลือและสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะช่องที่มีผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของเดียวกับรายที่คืนใบอนุญาต (กรณีที่ผู้ประกอบการ 1 รายมีช่องทีวีดิจิทัลมากกว่า 1 ช่อง) และช่องที่มีเนื้อหาและกลุ่มคนดูใกล้เคียงกัน รวมถึงการให้บริการสื่อวิดีโอหรือโทรทัศน์ผ่านอินเทอร์เน็ตหรือ Over-the-Top platform (OTT) ยังคงมีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนได้จากผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคไทยของบริษัทวิจัยการตลาด Nielsen พบว่ามีการรับชมรายการผ่าน Online platform มากขึ้น โดยกว่า 80% นิยมการรับชมแบบย้อนหลังและใช้เวลาเฉลี่ย 58 นาทีต่อวัน ทำให้บริษัทโฆษณาหรือเจ้าของผลิตภัฑณ์ต่าง ๆ สนใจซื้อเวลาโฆษณาใน OTT เพิ่มขึ้น

ในส่วนของผู้บริโภค การคืนใบอนุญาตและยุติการดำเนินการจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากความนิยมของช่องที่มีแนวโน้มคืนใบอนุญาตอยู่ในระดับที่ไม่สูง อย่างไรก็ตาม การมีจำนวนช่องหมวดข่าว และหมวดเด็กและครอบครัวลดลง อาจมีนัยต่อความหลากหลายของการรับชมสื่อทำให้ต้องติดตามทิศทางในอนาคตของสื่อต่อไป


รูปที่ 4: ผู้ให้บริการสื่อวิดีโอหรือโทรทัศน์ผ่านอินเทอร์เน็ต หรือ Over-the-Top platform (OTT)/ ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Nielsen, BEC, AIS และ MONO

นอกจากนี้ อีไอซียังคาดว่า ผู้ให้บริการโครงข่ายทีวีดิจิทัลจะสูญเสียรายได้เล็กน้อยจากช่องทีวีดิจิทัลที่คืนใบอนุญาต ที่ราว 40 ล้านบาทต่อปีต่อราย ส่วน กสทช. อาจจะมีค่าใช้จ่ายจากการเปลี่ยนช่วงคลื่นราว 2-2.5 หมื่นล้านบาท ผู้ให้บริการโครงข่ายทีวีดิจิทัล (MUX) ได้แก่ ไทยพีบีเอส ททบ. 5 กรมประชาสัมพันธ์ และ อสมท. มีแนวโน้มสูญเสียรายได้จากการให้เช่าโครงข่ายในระยะเวลาอีก 10 ปีที่เหลือ ราว 2.5 พันล้านบาท

แต่เนื่องจากผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลทั้ง 4 ช่องใช้ผู้ให้บริการโครงข่ายที่แตกต่างกันจึงทำให้ผลกระทบจาก การสูญเสียรายได้อยู่ที่ประมาณ 40 ล้านบาทต่อรายต่อปี หรือคิดเป็นราว 8-12% ของรายได้การให้เช่าโครงข่าย ทีวีดิจิทัลทั้งหมดของผู้ให้บริการโครงข่ายทีวีดิจิทัล ดังนั้นผลกระทบอาจอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก

ในส่วนการคืนใบอนุญาต กสทช. จะได้รับประโยชน์จากการเสียค่าใช้จ่ายลดลง เนื่องจากค่าใช้จ่ายทดแทนการย้ายคลื่นของทั้ง 4 ช่องทีวีดิจิทัลอยู่ที่ราว 1.6 พันล้านบาท ซึ่งมากกว่ารายรับของ กสทช.จากค่าธรรมเนียมรายปี ของทีวีดิจิทัลทั้ง 4 ช่องในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้าทั้งหมดประมาณ 180 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมกับผลกระทบจากการย้ายทีวีดิจิทัลอีก 18 ช่องที่ดำเนินการต่อไปยังช่วงคลื่น 470MHz ซึ่ง กสทช.จะมีค่าใช้จ่ายราว 2-2.5 หมื่นล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายจำนวนนี้จะมาจากค่าประมูลคลื่นความถี่ 900MHz ที่ประมูลไปแล้วปี 2018 และกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กทปส.) ในขณะที่ กสทช. ประเมินว่ารายได้จากการประมูลคลื่น 700MHz ที่เรียกคืนจากกิจการทีวี จะมีมูลค่ากว่า 7.5 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลที่ยังอยู่ในอุตสาหกรรมคงต้องเผชิญกับความท้าทาย 3 ประการหลัก ได้แก่ ความผันผวนทางเศรษฐกิจ นโยบาย กฎระเบียบและการควบคุมของ กสทช. และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี จากการศึกษาของอีไอซีพบว่า

  1. สภาพเศรษฐกิจมีค่าสหสัมพันธ์ (correlation) กับงบโฆษณาสูงถึง 70% โดยหากเศรษฐกิจมีการชะลอตัวจะทำให้บริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ปรับงบประมาณด้านโฆษณาลดลง ทำให้รายได้จากการโฆษณาของผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลน้อยลงตามไปด้วย
  2. การเปลี่ยนแปลงหรือออกนโยบายหรือกฎระเบียบใหม่ โดย กสทช. ส่งผลโดยตรงต่อรายได้และกำไรของผู้ประกอบการ เช่น    การลดจำนวนนาทีโฆษณาให้น้อยกว่า 12นาทีต่อชั่วโมงในช่วงไพร์มไทม์ และกำหนดให้มีการโฆษณาเฉลี่ยไม่เกิน 10 นาทีต่อชั่วโมงต่อวัน ส่งผลให้รายได้ของผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลมีแนวโน้มลดลง และ
  3. ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค การมีช่องทางการรับชมสื่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกเพิ่มขึ้นส่งผลให้พฤติกรรมการรับชมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป จากสาเหตุเหล่านี้ ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลจึงต้องเตรียมพร้อมและปรับตัวให้ทันต่อสภาวะการแข่งขันทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

ในระยะข้างหน้า Omni-channel การขายลิขสิทธิ์รายการทีวี และ Home Shopping ถือเป็นช่องทางสำคัญในการสร้างรายได้และเพิ่มความสามารถการแข่งขันของช่องทีวีดิจิทัล ในปัจจุบัน อีไอซี ได้เห็นเทรนด์เหล่านี้ของผู้ประกอบการบางรายแล้ว โดยนอกจากความสำคัญของ Content ที่ต้องมีคุณภาพและตรงต่อกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย การศึกษาของ McKinsey and EY ยังพบว่า Omni-channel หรือการเชื่อมโยงช่องทางต่าง ๆ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกันแบบ Seamless จะเป็นการสร้าง Ecosystem ของธุรกิจสื่อทั้งหมดและสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เพิ่มขึ้น เช่น อมรินทร์ ทีวี ที่ผสานกลยุทธ์กับอีก 4 ช่องทางในมือได้แก่  สื่อออนไลน์ สิ่งพิมพ์ อีเวนต์ และกิจกรรม ให้กับแบรนด์สินค้าต่างๆ เพื่อเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและนำเสนอขายแพ็คเกจโฆษณาผ่าน 5 ช่องทางดังกล่าว

ในด้านการขายลิขสิทธิ์รายการทีวี BEC ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ JKN ให้เป็นตัวแทนจำหน่าย Content ร่วม 70เรื่องในต่างประเทศ เช่น ตลาดตะวันออกกลาง ลาตินอเมริกา ทำให้รายได้จากการขายลิขสิทธิ์รายการทีวีของ BEC ในปี 2018 เพิ่มขึ้น 300% YOY

นอกจากนี้ช่อง CBS ในสหรัฐฯยังใช้ช่องทางเดียวกันในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 33% YOY เป็น 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2017 และ RS ได้ปรับกลยุทธ์โดยมุ่งเน้นธุรกิจ “สุขภาพ-ความงาม” มากขึ้น โดยใช้ช่อง 8 และสื่ออื่นในมือโฆษณาสินค้าที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของตน ผ่านรายการ Home shopping “Shop1781” ซึ่งสร้างรายได้ให้กับ RS ถึง 2.1 พันล้านบาทในปี 2018 หรือราว 60% ของรายได้ทั้งหมด ทั้งนี้เทรนด์การสร้างรายได้ทั้ง 3 รูปแบบจะเป็นช่องทางใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและต่อยอดในการทำธุรกิจในระยะข้างหน้า

 

ขอขอบคุณบทวิเคราะห์จาก Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

แนะเทรนด์ลงทุนในสตาร์ทอัพปี 2024 พร้อมช่องทางใหม่ในการระดมทุนจากงาน KATALYST TALK MEETUP #3

บทความที่เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพควรอ่านเพื่อเป็นไกด์ไลน์ในการเผชิญความท้าทายในปีนี้ จากการรับฟังภายในงาน KATALYST TALK MEETUP #3 ‘Navigating the Startup Challenges in 2024 and Beyond’...

Responsive image

เตรียมพบกับงาน SEA Blockchain Week 2024 (SEABW) ยกขบวนกูรูผู้เชี่ยวชาญด้านบล็อกเชน และ Web 3 ระดับโลกกว่า 100 คน มาร่วมพูดคุยแบ่งปันประสบการณ์ที่เมืองไทย

Southeast Asia Blockchain Week หรือ SEABW งานด้านบล็อกเชนสุดยิ่งใหญ่ระดับภูมิภาค ที่เตรียมจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ในวันที่ 24-25 เมษายน 2567 ซึ่งจะจัดขึ้น ณ True ICON HALL ช...

Responsive image

กระทรวง AI : เมื่อ AI อันตรายเกินกว่าจะปล่อยไว้ โลกเร่งออกกฎควบคุม

AI กลายเป็นสิ่งที่ต้องถูกควบคุมด้วยกฎหมาย และต้องถูกจับตาดูโดยหน่วยงานของรัฐบาลอย่าง ‘กระทรวง AI’ ที่มีอำนาจ และความสำคัญไม่แพ้หน่วยงานอื่น ๆ แต่ทำไม AI ต้องถูกควบคุมโดยรัฐบาล ? กร...