Data, AI และ Machine Learning คือสามคำสุดฮอตที่พ่วงมาด้วยกันในช่วงเวลานี้ เมื่อหลายองค์กรมีความพยายามค้นคว้าและพัฒนาระบบข้อมูลให้ชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยทีม Data scientist ที่จับข้อมูลมหาศาล มาวิเคราะห์เพื่อยกระดับการให้บริการและพัฒนาสังคมส่วนรวม
ในบทความนี้เราได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญของ Grab คุณ Jagannadan Varadarajan หัวหน้าทีม Data Science (Machine Learning) ประจำสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ และเป็นผู้อำนวยการร่วมของ Grab-NUS Lab ที่ทาง Grab ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติ
ปัญหาจราจรติดขัดเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดปัญหาหนึ่งในประเทศไทย ยิ่งไปกว่านั้น กรุงเทพฯ ถือเป็นเมืองที่รถติดที่สุดในเอเชียในปี 2017 ด้วยการให้บริการของ Grab เราหวังว่าจะทำให้คนมีรถในครอบครองน้อยลง ในด้านของข้อมูล ทุกวันนี้มีคนขับ Grab ไปมาทั่วทุกถนนเล็กใหญ่ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คนขับของเราขับผ่านทุกถนนที่มีคนสัญจรหลายครั้งต่อวัน แอปพลิเคชันของคนขับได้มอบข้อมูล GPS ที่ทำให้เราสามารถรวบรวมข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ละเอียดมากถึงขั้นว่าเมื่อนำจุด GPS มารวมกัน จะกลายเป็นเสมือนแผนที่ของเมืองเลยทีเดียว
Grab ใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของระบบ (Machine Learning) และรูปแบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence models) ในการประเมินการติดขัดของการจราจร เหตุต่างๆ บนท้องถนน และเวลาที่ใช้ในการเดินทาง นอกจากนี้ เรายังใช้ข้อมูลที่มีอยู่ และการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และอุปทาน ณ ขณะนั้น เพื่อประเมินผลให้เราสามารถบอกคนขับให้ไปในที่ที่มีอุปสงค์สูงเพื่อให้พวกเขาให้บริการแก่ผู้โดยสารที่ต้องการใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยิ่งไปกว่านั้น เรายังได้ประสานงานกับหน่วยงานรัฐบาล และองค์กรอื่นๆ เพื่อใช้ข้อมูลการจราจรของเราในการแก้ปัญหาจราจรติดขัด และยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนนทั่วภูมิภาค ตัวอย่างเช่น เราให้ผลรวมข้อมูลคนขับในรูปแบบที่ไม่ระบุตัวตนไว้บนแพลตฟอร์ม OpenTraffic ซึ่งเจ้าหน้าที่จัดการจราจร และนักผังเมืองสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้เพื่อลดการติดขัดของการจราจร โดยปรับเวลาสัญญาณไฟ หรือวางแผนการจัดการเส้นทาง เป็นต้น ส่วนนักผังเมืองก็สามารถใช้ข้อมูลนี้ในการตัดสินใจว่าจะวางแผนสร้างโครงสร้างพื้นฐานอย่างถนนได้อย่างไร
ด้วยความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore) Grabได้ตั้งห้องปฏิบัติการ Grab-NUS AI Lab เพื่อสร้างแพลตฟอร์ม AI ที่สามารถทนทานต่อ Machine Learning และการวิเคราะห์การแสดงผลภาพสำหรับข้อมูลจำนวนมหาศาล ที่ช่วยให้สามารถพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ๆ จากชุดข้อมูลมหาศาลที่รวบรวมโดย Grab ตัวอย่างเช่น การช่วยหน่วยงานด้านคมนาคมในการสอดส่องและเพิ่มความคล่องตัวของการจราจร
เรายังสามารถหาวิธีปรับใช้บริการรถร่วมโดยสารอย่างเหมาะสม เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้รถร่วมกัน และลดจำนวนรถบนท้องถนนในประเทศไทยได้
ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลของเราแสดงให้เห็นว่าเวลาการเดินทางจากตลาดประตูน้ำไปสนามบินดอนเมืองนั้นสามารถทำให้เร็วขึ้นได้อีกมาก หากเส้นทางนี้มีทางเลือกรถร่วมโดยสารมากขึ้นอย่าง รถเมล์ รถไฟ หรือการใช้รถร่วมกัน ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถลดเวลาการเดินทางในช่วงเวลาเร่งด่วนได้ถึง 25% จาก 45 นาที เหลือเพียงแค่ 34 นาที
Grab มีข้อมูลจำนวนมหาศาลถึง 20 เทระไบต์ ต่อวัน แต่การมีข้อมูลนั้นถือเป็นแค่ครึ่งหนึ่งของสมการ สิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือการมีเครื่องมือและความสามารถที่จะเปลี่ยนข้อมูลดังกล่าวเป็นฟีเจอร์อันชาญฉลาดที่สามารถยกระดับประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง และใช้พัฒนาเมืองอัจฉริยะได้ในอนาคต
วิทยาศาสตร์ข้อมูล (data science) ได้ถูกนำมาใช้ในส่วนนี้ และเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม Grab จึงลงทุนอย่างมหาศาลกับ AI, Machine Learning และการวิจัยการดำเนินการ
Grab ได้พยายามอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาประสบการณ์ของผู้โดยสารและ Partner ผู้ขับขี่ ทั้งนี้ การที่จะทำเช่นนั้นได้ก็เพราะเราได้ทำการทดลองอยู่เรื่อยๆ และความจริงแล้ว หลายสิ่งบนแอปที่เราได้พัฒนาขึ้นนั้นถือเป็นผลลัพธ์โดยตรงจากการทดลองที่ประสบความสำเร็จ การทำการทดสอบแบบหลายทางเลือกหรือ A/B testing ถือเป็นสิ่งสำคัญในการทำการทดลอง และเราใช้การทดสอบดังกล่าวเพื่อกำหนดตัวแปรสองตัวขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการพัฒนาเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งทำให้ผลออกมาดีที่สุด
Grab ใช้การทดสอบแบบ A/B testing ในหลายขั้นตอน รวมถึงการค้นหา และอัลกอริทึมแนะนำตัวเลือก ราคาและค่าบริการ การออกแบบเว็บไซต์ แคมเปญการตลาดที่ปล่อยออกไป การส่งข้อความ และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ต่างๆ เป็นต้น
ข้อมูลจากหลากหลายบริการของ Grab ทำให้เราสามารถรับรู้ข้อมูลเชิงลึกในเรื่องดังต่อไปนี้
เราได้ร่วมมือกับรัฐบาลและผู้มีอำนาจในการออกกฎหมายเพื่อใช้ข้อมูลจำนวนมหาศาลหลายเพตะไบท์ที่รวบรวมอยู่บนแพลตฟอร์มของเรา เพื่อพัฒนาและปรับปรุงบริการสำหรับเมืองต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากการให้ข้อมูลโลเคชั่นของคนขับในแพลตฟอร์ม OpenTraffic ซึ่งเกิดจากความร่วมมือกับธนาคารโลก เพื่อให้รัฐบาลของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ เมียนมาร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เข้าถึงข้อมูลการจราจรแบบเรียลไทม์แล้ว เรายังหาวิธีการใช้ข้อมูลในการช่วยรัฐบาลโดยตรงในการวางแผนการคมนาคม ตอบสนองความต้องการในการเดินทางให้เพียงพอ และวิเคราะห์ว่าการเพิ่มขึ้นของจำนวนรถกระทบต่อแต่ละเมืองอย่างไร
Grab มุ่งหวังที่จะขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นเมืองอัจฉริยะในอนาคต และได้ร่วมมือกับพันธมิตรจากหลากหลายอุตสาหกรรม รวมไปถึงรัฐบาล เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายดังกล่าว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคืองาน MotoGP เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเราได้ร่วมมือกับองค์กรบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อนำร่องระบบขนส่งอัจฉริยะ เพื่อผลักดันให้บุรีรัมย์กลายเป็นเมืองอัจริยะในอนาคต ความเคลื่อนไหวนี้ก็เพื่อตอบสนองวิสัยทัศน์ “บุรีรัมย์โมเดล” ซึ่งพุ่งเป้าไปที่การเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัด โดยพัฒนารายได้และคุณภาพชีวิตของคนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน และในอนาคตอันใกล้นี้ เราก็หวังว่าจะได้ร่วมงานกับจังหวัดอื่นๆ โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ในรูปแบบเดียวกัน
นอกจากนี้ ในปีที่แล้ว Grab ได้เปิดตัว เทคโนโลยี Safer Everyday ในประเทศไทยโดยมุ่งให้สังคมไทยเป็นเมืองอัจฉริยะที่ปลอดภัยมากขึ้น เป้าหมายหลักของเทคโนโลยีนี้คือการเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยบนท้องถนนเพื่อลดอุบัติเหตุที่สามารถป้องกันได้ โดยการวัดความเหนื่อยล้าของคนขับผ่านระบบรายงานผลโทรสนเทศภายใน และกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านความปลอดภัยของพวกเขา ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนในระยะยาว
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด