เปิดลิสต์ 3 ประเภท AI Startup ที่นักลงทุน VC สนใจมากที่สุดในปี 2025

ปี 2025 ยังคงเป็นยุคทองของ AI ที่ขยายขอบเขตการแข่งขันในตลาดสตาร์ทอัพ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีชิป การสร้างหุ่นยนต์ที่ใช้ AI หรือการนำเสนอแพลตฟอร์มเฉพาะทางสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม นักลงทุน VC เริ่มมุ่งเป้าหมายไปยังบางประเภทของสตาร์ทอัพ AI ที่พวกเขาเชื่อว่าจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงเกมธุรกิจได้จริง 

และนี่คือ 3 ประเภทสตาร์ทอัพ AI ที่นักลงทุนต่างให้ความสนใจมากที่สุด !

1. โซลูชัน AI เฉพาะด้าน (AI solutions for specific tasks)

โซลูชัน AI ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะในอุตสาหกรรมกำลังเป็นที่จับตามองจากนักลงทุน VC ในปี 2025 โดย Mark Rostick จาก Intel Capital ชี้ว่า AI ประเภทนี้มีศักยภาพสูง ตัวอย่างเช่น การปรับปรุงกระบวนการในโรงงานผลิต หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเฉพาะด้านในอุตสาหกรรมสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากโซลูชันดังกล่าวสามารถทำงานร่วมกับ เอเจนต์อัตโนมัติ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะเพิ่มคุณค่าให้กับธุรกิจมากยิ่งขึ้น

ในมุมมองเดียวกัน Mike Hayes จาก Insight Partners เน้นว่าโซลูชันที่ช่วยลดความซับซ้อนในกระบวนการธุรกิจ เช่น Generative AI หรือ Automation ที่สามารถแก้ปัญหาได้เองโดยไม่ต้องรอมนุษย์ จะตอบโจทย์องค์กรที่มองหาเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องระมัดระวังในการเลือกลงทุน โดยจำเป็นต้องแยกแยะให้ได้ว่า สตาร์ทอัพเหล่านั้นพัฒนา โซลูชันที่เป็นธุรกิจครบวงจร หรือเพียงแค่ ฟีเจอร์เดียว ที่ขาดศักยภาพในการขยายตัว ความล้มเหลวจากกรณี SaaS Boom ปี 2021 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เมื่อบริษัทที่พัฒนาเพียงฟีเจอร์เดียวได้รับเงินลงทุนมากมายในช่วงแรก แต่เมื่อถึงปี 2023 หลายบริษัทล้มเหลวและถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เพราะไม่สามารถตอบสนองความต้องการองค์กรที่ลดงบประมาณและหันไปหาแพลตฟอร์มแบบครบวงจรได้

ถึงแม้ว่า โซลูชันที่เน้นฟีเจอร์เดียว (Single-Feature Solution) จะดูเหมือนจำกัดในขอบเขต แต่ในบางกรณี งานที่มีความสำคัญหรือซับซ้อนมากพอก็อาจทำให้ฟีเจอร์เดียวนั้นสร้างคุณค่าได้มหาศาล ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ SaaS ในด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ที่องค์กรต่าง ๆ ยินดีจ่ายเพื่อโซลูชันเฉพาะด้าน เช่น ระบบตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์

Ed Sim จาก Boldstart Ventures ชี้ว่า นักพัฒนา AI ต้องมองให้ไกลกว่าการสร้าง “ฟีเจอร์” พวกเขาควรคิดให้รอบคอบว่า สิ่งที่สร้างขึ้นจะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของระบบขนาดใหญ่ หรือสามารถพัฒนาไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้จริง และยิ่งไปกว่านั้น ต้องเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนที่สามารถขยายตัวและรองรับความเปลี่ยนแปลงของตลาดในระยะยาวได้

2. โครงสร้างพื้นฐาน AI (AI Infrastructure)

โครงสร้างพื้นฐานของ AI (AI Infrastructure) ยังคงเป็นหนึ่งในพื้นที่การลงทุนที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากองค์กรต่าง ๆ เริ่มนำ AI เข้ามาใช้งานในระดับที่ลึกซึ้งมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อ AI agents มีบทบาทสำคัญมากขึ้นในระบบธุรกิจ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เทคโนโลยี AI สามารถทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพและตอบสนองความต้องการขององค์กรที่หลากหลาย

Janelle Teng รองประธานจาก Bessemer Venture Partners กล่าวเสริมว่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แต่มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2025 โดยเฉพาะเมื่อเฟรมเวิร์กของ AI agents เริ่มแพร่หลาย มีการพัฒนาโมเดลรูปแบบใหม่ เช่น

  1. เฟรมเวิร์กสำหรับ AI agents ที่ช่วยให้ AI ทำงานร่วมกันได้ดีขึ้นในองค์กรขนาดใหญ่
  2. Reasoning AI ซึ่งพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์และตัดสินใจในปัญหาซับซ้อน
  3. Edge AI และ UX/UI ที่ดีขึ้น ทำให้ AI รวดเร็ว ปลอดภัย และใช้งานง่ายทั้งในองค์กรและผู้ใช้ทั่วไป

3. ความน่าเชื่อถือและความยืดหยุ่นของระบบ (Reliability and Resiliency)

หนึ่งในหัวข้อที่นักลงทุน VC ให้ความสนใจอย่างมากในปีนี้คือ ความน่าเชื่อถือ (Reliability) และ ความยืดหยุ่นของระบบ (Resiliency) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในยุคที่ระบบเทคโนโลยีเชื่อมต่อกันอย่างหนาแน่น 

Jason Mendel จาก Battery Ventures ระบุว่าเขากำลังให้ความสำคัญกับการลงทุนในบริษัทที่พัฒนาระบบ Observability (การตรวจสอบระบบ) และ Reliability (การเพิ่มความเสถียรภาพ) เพราะองค์กรต่าง ๆ ต้องการระบบที่สามารถติดตาม ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วเมื่อเกิดข้อผิดพลาด

Liran Grinberg ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหารที่ Team8 ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวคิดที่เขาเรียกว่า “ความยืดหยุ่นในระดับองค์กร” (Enterprise Resilience) ซึ่งไม่ใช่แค่การตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการออกแบบระบบดิจิทัลให้สามารถรองรับความผิดพลาด และฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญกับความเสียหายหรือการโจมตี

Grinberg ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับซอฟต์แวร์ Crowdstrike ซึ่งเคยมีปัญหาในการอัปเดตระบบจนทำให้ผู้ใช้งานจำนวนมากได้รับผลกระทบ เขาชี้ให้เห็นว่า โลกดิจิทัลในปัจจุบันมีความเปราะบางอย่างมาก ทั้งจาก ภัยคุกคามไซเบอร์ และ ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้นการสร้างระบบดิจิทัลที่มี ความยืดหยุ่นและแข็งแกร่ง (Anti-Fragile) เป็นสิ่งสำคัญ โดยการออกแบบตั้งแต่ต้นควรคำนึงถึงการรองรับข้อผิดพลาดและการฟื้นตัวจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ตอบสนองต่อความท้าทายเหล่านี้ ไม่เพียงช่วยป้องกันความเสียหายต่อธุรกิจ แต่ยังเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับองค์กรที่พึ่งพาเทคโนโลยีเป็นแกนหลัก นักลงทุน VC จึงมองว่านี่เป็นโอกาสสำคัญสำหรับบริษัทที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสร้างความยืดหยุ่นในระบบดิจิทัลให้ก้าวไกลยิ่งขึ้น

อ้างอิง: techcrunch

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

Gartner ชี้สัญญาณอันตราย 5 จุดบอดของ GenAI ที่ผู้บริหารไอทีต้องเร่งจัดการก่อนจะสาย

Gartner เตือน CIO ถึง 5 จุดบอดสำคัญในการใช้ GenAI ทั้ง Shadow AI, หนี้ทางเทคนิค และทักษะคนที่ถดถอย พร้อมทำนายปี 2030 คือจุดชี้ชะตาธุรกิจ...

Responsive image

สรุป Insight จาก ‘Turn ThAI to Tech Tide’ ชี้ไทยผลิต AI Talent ได้ไม่ถึง 500 คนต่อปี ถอดรหัส 4 กลยุทธ์จาก ดร.เอ้ และ ดร.อ้อ กู้วิกฤต Talent พลิกอนาคต AI ไทย

เจาะลึกกลยุทธ์กู้วิกฤตระบบเทคไทยจากการศึกษาจนถึงนโยบายรัฐ จากเวที AI Innovation Summit 2025 แก้ปัญหาไทยโตช้าในสนาม Data Economy ระดับโลก...

Responsive image

ปรากฏการณ์ Tech Squad เมื่อตัวจริงวงการสตาร์ทอัพกระโดดสู่สนามเลือกตั้ง 69

วิเคราะห์เจาะลึกปรากฏการณ์ Tech Squad พรรคประชาชน แม็กซ์ StockRadars, ป้อม ภาวุธ, มาร์ค Blognone กับภารกิจเปลี่ยนภาครัฐด้วย Data และ Tech ในสนามเลือกตั้ง 69...