สรุปเสวนา การนำพาอากาศสะอาดสู่ภาคการขนส่งไทย เมื่อภาครัฐและเอกชนต้องร่วมแก้ปัญหามลพิษ | Techsauce

สรุปเสวนา การนำพาอากาศสะอาดสู่ภาคการขนส่งไทย เมื่อภาครัฐและเอกชนต้องร่วมแก้ปัญหามลพิษ

เมื่ออากาศและมลพิษทางอากาศกำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างสูง เมื่อมลพิษอย่างฝุ่น PM 2.5 เข้ามาส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนเมือง และหนึ่งปัญหาสำคัญที่ทำให้เกิดมลพิษนี้คือ ภาคการขนส่งและจะทำอย่างไรเพื่อแก้ปัญหามลพิษร้ายชนิดนี้ ร่วมวงสนทนากับ Techsauce และ BOSCH ใน Exclusive Roundtable Talk: How to Make Clean Public Transport Possible? บทสนทนาสุดพิเศษว่าด้วยเรื่อง “การนำพาอากาศสะอาดสู่ภาคการขนส่งไทย” พร้อมพูดคุยไปกับ

  • คุณวฤต รัตนชื่น ผู้อำนวยการฝ่ายแผนยุทธศาสตร์ และผู้อำนวยการโครงการ EGAT Proventure การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

  • คุณพันศักดิ์ ถิรมงคล ผู้อำนวยการกองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ

  • คุณจักรกฤช ตั้งใจตรง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิศวกรรมยานยนต์ สำนักวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบก

  • คุณชยุตม์ จัตุนวรัตน์ Investment Manager & Venture Lead-Incubation, PTT Public Company Limited

  • คุณนฤมล นวลปลอด Head of Strategy, Marketing and Sales, BOSCH Mobility Solutions SEA

  • คุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ CEO และ Co-founder บริษัท เทคซอส มีเดีย เป็นผู้ดำเนินรายการ

BOSCH

สัดส่วนของสาเหตุปัญหามลพิษที่เกิดขึ้นในประเทศไทย

คุณพันศักดิ์ กล่าวว่า มลพิษทางอากาศ เกิดมาจากหลาย ๆ แหล่งกำเนิด ดังนี้

  • แหล่งกำเนิดมลพิษประเภทที่อยู่กับที่ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม 
  • แหล่งกำเนิดประเภทเคลื่อนที่ได้ เช่น การจราจร
  • แหล่งกำเนิดมลพิษในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น การเผาในที่โล่ง 
  • แหล่งกำเนิดมลพิษแบบข้ามพรมแดน โดยจะเป็นมลพิษที่มาจากประเทศอื่น เคลื่อนที่เข้ามาสู่ประเทศเรา

ดังนั้น สัดส่วนจะขึ้นอยู่กับพื้นที่ และเวลา เพราะแต่ละแหล่งกำเนิดนั้นจะเกิดในช่วงเวลาที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่น มลพิษแบบข้ามพรมแดนมักจะเกิดขึ้นในช่วงมิถุนายนที่เป็นช่วงหน้าแล้ง และมักจะมาจากประเทศเพื่อนบ้านแถบทางใต้ ทั้งนี้ก็จะขึ้นอยู่กับทิศทางของลมเช่นกัน เช่นเดียวกันในประเทศไทยที่มักจะมีการเผาวัตถุที่เหลือทิ้งทางการเกษตรในช่วงหน้าแล้ง เพราะฉะนั้นมลพิษส่วนใหญ่ที่เป็นสัดส่วนหลัก ๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเราจะมาจากแหล่งกำเนิดมลพิษประเภทที่อยู่กับที่ และแหล่งกำเนิดประเภทเคลื่อนที่ได้อย่างการจราจร

สำหรับภาคอุตสาหกรรม อย่างที่ทราบกันดีว่าจะไม่มีกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ในตัวเมืองมากนัก เพราะฉะนั้น มลพิษที่คนเมืองต้องเจอตลอดเวลามักจะมาจากการจราจรเป็นส่วนใหญ่ 

ทำความรู้จักกับดัชนีคุณภาพอากาศ AQI Data ของไทย

สำหรับเจ้าของระบบ AQI Data ทาง คุณพันศักดิ์ กล่าวว่า ระบบติดตามสภาพอากาศนี้มีทางสถานีตรวจสอบสภาพอากาศในการเก็บข้อมูล และแจกจ่ายไปสู่ประชาชน ทั้งของทางกรมควบคุมมลพิษเองก็มีสถานีกว่า 70 แห่ง ในกว่า 40 จังหวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายในการตรวจสอบ อย่างในกรุงเทพฯ ก็มีมากกว่า 50 สถานี โดยมีหน้าที่ในการติดตาม ตรวจสอบสภาพอากาศ ซึ่งข้อมุลทุกอย่างจากแต่ละสถานีจะถูกจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูล เพื่อนำเอามาใช้รายงานให้กับ ผู้ศึกษาวิจัย หรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ใช้ในการประเมินคุณภาพโครงการของการใช้รถ EV รวมทั้งใช้รายสภาพอากาศรายวันให้กับประชาชนทุกคนที่คอยติดตามคุณภาพอากาศด้วย  

โดยข้อมูลดัชนีคุณภาพอากาศนี้จะถูกรายงานไปในหลายแพลตฟอร์ม ทั้งแอปพลิเคชัน เฟซบุ๊คแฟนเพจ ของกรมควบคุมมลพิษ และของหน่วยงานท้องถิ่นต่าง ๆ ในแบบรายชั่วโมง หรือ Near Real-time ฉะนั้นก็สามารถพูดได้ว่าข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นข้อมูลของประชาชนด้วยเช่นกัน เพราะมีการผลิตขึ้นมาจากภาษีของประชาชน เพื่อรายงานให้ประชาชน จึงถือเป็นการแบ่งปันข้อมูลร่วมกัน

วิธีการจัดการแก้ปัญหามลพิษจากยานพาหนะ ของภาครัฐ

ในส่วนของ คุณจักรกฤช กล่าวถึง กระทรวงคมนาคม ว่ามีแผนใหญ่ด้านการพัฒนาการขนส่งที่เรียกว่า “ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง ระยะ 20 ปี (61-80)” เพื่อสร้างให้การขนส่งมีประสิทธิภาพมากพอในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งต้องมีความปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการนำนวัตกรรม หรือรถรุ่นใหม่ ๆ เข้ามาช่วยในจุดนี้ นอกจากนี้การขนส่งที่มีประสิทธิภาพประชาชนจะต้องเข้าถึงได้อย่างเสมอภาค และเท่าเทียม ดังนั้น กรมการขนส่งทางบก และกระทรวงคมนาคม พิจารณาว่าจะต้องนำเอานวัตกรรม และการบริหารจัดการแบบใหม่เข้ามาช่วย

BOSCH x Techsauce

สำหรับบทบาทในการจัดการมลพิษทางอากาศในภาคการขนส่งทางถนนของกรมการขนส่งทางบกนั้นจะแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ

  • ช่วงก่อนที่รถจะจดทะเบียน ทางกรมควบคุมมลพิษ และ สมอ. จะมีการกำหนดมาตรฐาน และตรวจสอบระดับมลพิษในเครื่องยนต์แต่ละประเภท รวมทั้งมีการตรวจสภาพรถด้วยเช่นกัน

  • ช่วงหลังจากมีการจดทะเบียน ทางกรมการขนส่งทางบกจะมีการคอยตรวจวัดค่าควันดำจากยานพาหนะ โดยเฉพาะรถที่ใช้ในการบรรทุกสินค้า ซึ่งทำได้ทั้งที่กรมการขนส่งทางบก และ ณ สถานตรวจสภาพรถต่าง ๆ ริมถนน และจะมีการดำเนินคดีสำหรับรถที่มีค่าควันดำเกินมาตรฐานกำหนด

นโยบายเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้งาน EV ของภาครัฐ

คุณจักรกฤช กล่าวว่า ณ ตอนนี้หน่วยงานของทางภาครัฐมีนโยบายอยู่ 2 ส่วน คือ ส่วนรถที่มีอยู่เดิม จะมีหน่วยงานมากำกับดูแลแบบที่กล่าวไปข้างต้น และในอนาคตจะมีส่วนของรถพลังงานไฟฟ้าขึ้นมา ทางกรมการขนส่งทางบกก็เป็นอีกหนึ่งคณะกรรมการยานยนต์แห่งชาติ

โดยทางกรมการขนส่งทางบกก็ได้มีการออกมาตรการขับเคลื่อนนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าออกมา โดยได้มีการปรับปรุงเรื่องของการคิดอัตราภาษีประจำปี ซึ่งจะมีการลดอัตราภาษีให้ตามปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และ cc ของเครื่องยนต์ ดังนั้น ถ้ามีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อย หรือมี cc ต่ำ อัตราภาษีก็จะต่ำ โดยภาษีตรงนี้จะนำไปใช้ในการปรับปรุงซ่อมแซมถนนส่วนที่มีความเสียหายจากการเดินรถ หรือจะกล่าวโดยง่าย คือ ถ้ารถมีการทำลายสิ่งแวดล้อม หรือถนน ก็จะมีการเก็บภาษีแพงขึ้นไปตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถข้ามขั้นจากการเปลี่ยนเครื่องยนต์สันดาป หรือ Internal Combustion Engine: ICE ไปเป็น EV เลย เพราะยังทำได้ยาก เนื่องจากมีกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วน และผลิตรถยนต์ที่ยังต้องอาศัยกันและกัน รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงไปเลยมันไม่สามารถทำได้แบบทันทีทันใด จึงอาจจะต้องมีการโอนอ่อนต่อกัน อย่างเช่น การเปลี่ยนผ่านจากเครื่อง ICE ไปเป็น Hybrid Electric Vehicle (HEV) และไปเป็น Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) จนสุดท้ายจะเป็น Battery Electric Vehicle (BEV) เป็นผลให้รถเครื่อง ICE มีการเก็บภาษีสูงที่สุด รองมาเป็น HEV, PHEV และ BEV จะเก็บน้อยลงมาตามลำดับของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

อีกทั้งยังมีการวางแผนเบื้องต้นว่า ในช่วง 3-5 ปีแรกของการซื้อรถ EV จะมีการลดภาษีให้กับรถประเภทนี้ (จะต้องมีการจดทะเบียนในช่วงก่อนปี 2573) ซึ่ง ณ ตอนนี้มีการเร่งแก้ไข พ.ร.บ. รถยนต์ พ.ศ. 2522 ให้แล้วเสร็จภายในปี 2564-2565 ทั้งนี้ต้องการสนับสนุน และกระตุ้นให้มีการใช้ยานยนต์ในประชาชนทั่วไป และในภาคของการขนส่งสาธารณะด้วยเช่นกัน

การสนับสนุนจุดชาร์จพลังงานไฟฟ้า จากภาครัฐสู่ภาคการขนส่ง

ในส่วนนี้ทาง คุณวฤต ได้ชี้แจงว่า ทาง กฟผ. ในสังกัดของกระทรวงพลังงาน รวมทั้งบอร์ด EV แห่งชาติก็ได้มีการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบการขนส่งที่เน้นในส่วนของพลังงานไฟฟ้า โดยได้มีการทำ งานวิจัยและพัฒนา (R&D) โดยเน้นหลักความรับผิดชอบต่อสังคมและ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีการทำงานวิจัยร่วมกับ สวทช. ในการดัดแปลงรถเก่า และเปิดอบรมให้กับผู้ประกอบการที่สนใจ อีกทั้งมีการจัดทำรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า เป็นผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าประหยัดพลังงานเบอร์ 5 โดยได้มีการนำเอารถจักรยานยนต์ดังกล่าวนี้ไปลองให้ใช้งาน รวมทั้งมีการเพิ่มจุด Swap Battery ในพื้นที่ใกล้เคียง และมีการเพิ่มสถานีชาร์จในชื่อว่า “EleX by EGAT” โดยแบ่งผู้ใช้งานออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

  • กลุ่ม Network คือ เมื่อผู้ใช้งานเดินทางไกล ในทุก ๆ 200 กิโลเมตรจะมีจุดชาร์จให้บริการ โดยจะวางในสถานที่ เช่น ปั๊มน้ำมัน หรือพื้นที่ของพาร์ทเนอร์ต่าง ๆ 

  • กลุ่ม Community คือ การจัดทำ และพัฒนาจุดสถานีชาร์จจากหลาย ๆ ฝ่าย

  • กลุ่ม Freight Operator คือ กลุ่มผู้ประกอบการขนส่งที่ต้องการจะเปลี่ยนไปใช้งานรถ EV และทาง EGAT ก็จะไปช่วยให้บริการสถานีชาร์จ

นอกจากนี้ทาง EGAT ยังเป็นผู้จัดจำหน่าย และติดตั้งหัวชาร์จของบริษัท Wallbox ซึ่งจะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการจะชาร์จรถที่บ้าน ซึ่งขณะนี้ก็ได้มีการพัฒนาหัวชาร์จอยู่ ดังนั้น ในอนาคตอันใกล้จะมีการนำเอาหัวชาร์จตัวนี้ออกมาใช้อย่างแน่นอน 

สำหรับการใช้งานสถานีบริการจุดชาร์จต่าง ๆ ทาง EGAT ก็มีการพัฒนาเป็นแอปพลิเคชั่นสำหรับค้นหา และใช้บริการสถานีชาร์จ โดยประชาชนสามารถค้นหาได้ทั้งสถานีของ EGAT เอง หรือสถานีผู้ให้บริการอื่น ๆ อย่าง ปตท. หรือ EA ก็ได้เช่นกัน และเมื่อมีการใช้ EV เพิ่มมากขึ้น และมีสถานีบริการเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ก็ต้องมีการปรับปรุงระบบโครงข่ายไฟฟ้า เพื่อให้เกิดการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

แผนปรับเปลี่ยนสถานีจ่ายน้ำมัน เพิ่มสถานีชาร์จยานยนต์พลังงานไฟฟ้า

ในส่วนนี้ทาง คุณชยุตม์ กล่าวถึง เป้าหมายของทาง ปตท ว่า ต้องการที่จะสนับสนุนภาคการขนส่งทางบกให้หันมาใช้ยานพาหนะที่ใช้พลังงานสะอาด โดยได้ศึกษาเรื่องการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV มาโดยตลอด และควรจะมีการสนับสนุนให้คนใช้ยานยนต์ EV กันมากขึ้น และด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างในตอนนี้ที่ทำให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป และหันมาสนใจใช้งาน EV ดังนั้น ทาง ปตท จึงได้จัดให้มีสถานีชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไปประมาณ 30 สถานี และมีแผนขยายจุดบริการภายในปี 2565 โดยจะพัฒนาให้มีจุดชาร์จไฟบริการกว่า 300 จุดในถานีบริการที่เป็นทางผ่านบนถนน และจะขยายไปนอกสถานีอีกกว่า 200 จุดเช่นกัน นอกจากนี้จะมีการเพิ่มสถานีสำหรับเปลี่ยนแบตเตอรี่ของจักรยานยนต์ไฟฟ้า (Battery Swap Network for E-motorcycle) ไปด้วยอีก 20 ตู้ทั่วกรุงเทพมหานครภายในปีนี้ ทั้งนี้จะมีการขยายออกไปอีกในอนาคต

ภาคเอกชน กับบทบาทการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์เพื่ออากาศสะอาด

สำหรับ คุณนฤมล กล่าวว่า BOSCH เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์มาเป็นเวลากว่า 130 ปี และสิ่งหนึ่งที่ทาง BOSCH ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และมีการพัฒนาอยู่ตลอด คือ ระบบส่งกำลังของยานยนต์หรือ Powertrain System เนื่องจาก BOSCH มีสาขาอยู่ในหลายประเทศทั่วโลกจึงทำให้บริษัทฯ เข้าใจในระบบการขนส่งและยานยนต์ โดยมี วิสัยทัศน์เรื่องการขับเคลื่อนอย่างยั่งยืน (Sustainable Mobility) ที่เป็นหนึ่งความท้าทายของหลายภาคส่วนทั่วโลก ทาง BOSCH จะมุ่งเน้นไปที่การขับเคลื่อนยานยนต์ที่ปลอดภัย รวมทั้งช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศให้ดีขึ้น

จากงานวิจัยทางการตลาดของ BOSCH พบว่า ประมาณ 67% ของยานยนต์รุ่นใหม่ยังจะมีการขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในอยู่จนถึงปี 2030 จุดนี้ทำให้ BOSCH มองไปถึงเรื่อง ความเป็นกลางทางเทคโนโลยี (Technology Neutral) ซึ่งในอนาคตเทคโนโลยีจะมีความหลากหลายมากขึ้น  และความเป็นกลางทางเทคโนโลยีนี้จะมาเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของประชาชนในอนาคต

BOSCH ยังมีการพัฒนาระบบส่งกำลังอีกหลากหลายแบบ เช่น ระบบ Modern Diesel หรือระบบดีเซลสะอาด ระบบ Hybrid ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของรถยนต์ได้ถึง 15% รวมทั้งมีการพัฒนาระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าแบบ 100% อีกทั้งต่อยอดส่วนนี้ไปพัฒนาเป็นระบบ Fuel cell อีกด้วย โดยระบบเหล่านี้จะมีการพัฒนาให้ใช้กับยานพาหนะได้ทุก ๆ ประเภท ทั้งรถยนต์โดยสาร 4 ล้อ รถยนต์โดยสารเพื่อการพาณิชย์ รถบรรทุก รวมทั้งรถจักรยานยนต์และรถจักรยาน 

ทั้งนี้  BOSCH เชื่อว่าแนวทาง Technology Neutral นี้ จะช่วยให้แต่ละประเทศก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านในการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบในอนาคตได้อย่างราบรื่นเพราะแต่ละภูมิภาคมี Roadmap ที่แตกต่างกัน อีกทั้งเทคโนโลยีการขับเคลื่อนของ BOSCH ยังมีส่วนช่วยในการช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศ และลดฝุ่น PM 2.5 ด้วยเช่นกัน

แผนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด

ทางด้านของ คุณวฤต มองว่า ตอนนี้ในประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่มีการวางไว้ว่าภายในปี 2050 และจีน ภายในปี 2560 จะมีการจัดการกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้อย่างสิ้นเชิง และสิ่งที่เห็นได้ตามมาคือ บริษัทที่มาจากประเทศเหล่านี้กำลังวิ่งหาพลังงานสะอาด และเป้าหมายแรกของพวกเขาคือ ภายในปี 2025 ส่วนประเทศไทยคาดว่าจะมีการประกาศภายในสิ้นปีนี้

สำหรับในประเทศไทย ภาคส่วนที่มีการปล่อยก๊าซ CO2 มากที่สุดคือ ส่วนการผลิตไฟฟ้า โดยในอนาคตเมื่อมีการปรับเปลี่ยนไป ทางภาคของการขนส่งก็จะมีการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น และปริมาณการปล่อย CO2 ก็จะมาเพิ่มที่ฟากของการผลิตไฟฟ้าขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงต้องมีการนำเอาพลังงานทดแทนเข้ามา ซึ่งทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้มีการดำเนินการ 3 ส่วน คือ

  • เพิ่มแหล่งผลิตไฟฟ้า ตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ โดยจะเพิ่มแหล่งผลิตไฟฟ้าบริเวณอ่างเก็บน้ำ 

  • สร้าง Ecosystem แบบ Grid Modernization คือ การทำให้ระบบไฟฟ้ามีความยืดหยุ่น โดยจะมีการตั้งศูนย์พยากรณ์พลังงานหมุนเวียนที่ผันผวน ปรับแหล่งผลิตไฟฟ้าให้พร้อมรับกับความผันผวนต่าง ๆ รวมทั้งพัฒนา Energy Storage และในอนาคตจะมีการศึกษาเรื่องการ Reuse แบตเตอรี่เก่าของรถยนต์มาใช้ในการผลิตไฟฟ้า

  • สร้าง Ecosystem เชิงการบริหารจัดการ โดยจะสร้างกลไกให้กับบริษัทจากต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในบ้านเราได้ซื้อไฟจากเราไปใช้ได้

ในด้านของ คุณชยุตม์ กล่าวว่า มีหลายคน หลายบริษัทที่ต้องการจะใช้พลังงานสะอาด แต่ยังหาไม่ได้ ทาง ปตท ก็ได้มีการจัดโครงการขึ้นมา เพื่อให้สามารถหาพลังงานสะอาดได้ง่ายขึ้น โครงการนี้มีชื่อว่า ReAcc - Renewable Energy Acceleration Platform ซึ่งโดยปกติแล้วเราไม่สามารถทราบได้เลยว่าไฟฟ้าที่ซื้อมาจากแหล่งไหน ซึ่งเป็นได้ทั้งแหล่งที่ไม่สะอาด และสะอาด โดยเป้าหมายของเราคือ ต้องการให้ผู้ซื้อสามารถเลือกได้ด้วยตนเองว่าจะซื้อจากแหล่งไหน และแพลตฟอร์มนี้จะเป็นตัวกลางบอกว่าไฟฟ้ามาจากแหล่งไหน และเป็นพลังงานสะอาดหรือไม่ อีกทั้งทาง ปตท ก็หวังว่าแพลตฟอร์มนี้จะเป็นตัวช่วยสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน สำหรับโครงการนี้ก็จะมีการต่อยอดไปถึงการให้คนเลือกได้ว่าต้องการชาร์จไฟ EV จากแหล่งใด เป็นพลังงานสะอาดหรือไม่ เพราะในปัจจุบันนี้ยังไม่มีความหลากหลายพอให้คนเลือกได้ แต่ในอนาคตเราหวังว่าสิ่งนี้จะเป็นตัวช่วยในการขับเคลื่อนให้วงการใช้ EV และพลังงานสะอาดขยายกว้างขึ้น

ในฟากของผู้ผลิตอย่าง BOSCH ทาง คุณนฤมล ก็กล่าวว่า ทาง BOSCH ก็มีการสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดด้วยเช่นกัน โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา BOSCH ก็ได้ทุ่มเงินลงทุนกว่า 5 พันล้านยูโรทั่วโลก เพื่อศึกษาและพัฒนาระบบยานยนต์ไฟฟ้า และได้มีการทำโปรเจกต์ที่เกี่ยวกับระบบส่งกำลังไฟฟ้ามาแล้วกว่า 90 โครงการ ทำให้ปัจจุบันนี้มีรถยนต์ที่ใช้ระบบส่งกำลังไฟฟ้าของ BOSCH วิ่งอยู่บนถนนกว่า 2.5 ล้านคันทั่วโลก

นอกจากระบบส่งกำลังแล้ว ระบบเบรกในรถยนต์ก็ทำให้เกิด PM 2.5 เช่นกัน จากตรงนี้ก็ได้มีการนำเอาเทคโนโลยี Regenerative Breaking System เข้ามาพัฒนาต่อยอด โดยเทคโนโลยีตัวนี้จะใช้งานในยานยนต์ที่เป็น Hybrid และ EV นอกจากจะทำให้การเบรกเป็นการช่วยชาร์จไฟแล้ว ยังช่วยลดค่าการเกิดฝุ่นได้ถึง 95% 

นอกเหนือจากเทคโนโลยียานยนต์ก็ยังมีโปรเจกต์อื่น ๆ ที่มาเป็นตัวช่วยในการลดมลภาวะ ด้วยการนำ AI และ IoT เข้ามาผนวกทำให้มีการคิดค้นนวัตกรรมอย่าง กล่องตรวจสอบสภาพมลภาวะ เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาประมวล วิเคราะห์และใช้ระบายรถในที่ที่มีมลภาวะสูง จากการศึกษาพบว่าทั่วโลกมีตัวเลขเฉลี่ยการวนหาที่จอดรถประมาณ 30 นาที ดังนั้นโซลูชัน Community Based Parking ของ BOSCH จะช่วยทำให้การหาที่จอดรถง่ายขึ้น และลดมลพิษจากการวนหาที่จอด

ความร่วมมือที่จำเป็นในการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ

คุณพันศักดิ์ กล่าวว่า ความสำเร็จในการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพราะมลพิษนั้นเกิดมาจากหลายส่วน หลายปัจจัยตามที่อธิบายไปข้างต้น ดังนั้น จะต้องมีการปรับเปลี่ยนทั้งพฤติกรรมของฝั่งผู้ที่มีการเผาทำลายในที่โล่ง และให้มีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้เพื่อลดมลภาวะ เพราะเทคโนโลยีจะเป็นตัวสนับสนุนที่ดีในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของทั้งผู้ผลิต ผู้ให้บริการ และผู้บริโภค

คุณจักรกฤช ได้ฝากไว้ว่า ถ้าเราสามารถบำรุงรักษารถ และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาทดแทนรถเดิมได้ก็เป็นเรื่องที่ดี และสุดท้ายนี้ขอฝากให้ทุกคนหันมาดูแลรถให้ดี เพราะมันจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา อีกทั้งจะปล่อยมลพิษออกมามากด้วยเช่นกัน ส่วนด้านเทคโนโลยีทางกรมการขนส่งทางบกก็จะดำเนินการเต็มที่เพื่อนำเอาเทคโนโลยีเข้ามา

ในส่วนของ คุณวฤต ก็ได้มีการเชิญชวนให้หันมาใช้รถ EV กันมากขึ้น ทั้งนี้การใช้ EV จะมีค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงต่อกิโลเมตรที่ถูกกว่าการใช้น้ำมัน 30-40% และราคาของตัวรถก้จะมีราคาที่ใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ ICE หากใครที่สนใจเริ่มต้นใช้งาน EV สามารถเข้าไปพูดคุยปรึกษากับทาง EGAT ได้โดยตรง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านที่เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

สำหรับภาคเอกชน ในส่วนของ ปตท คุณชยุตม์ ได้ชี้แจงว่า การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีมาเป็นพลังงานไฟฟ้า นั้นเหมือนกับเป็นการเปลี่ยนตำแหน่งการเผาไหม้ไปสู้ภาคการผลิตไฟฟ้าแทนการเผาไหม้ที่รถยนต์ เพราะฉะนั้น 1 โซลูชัน ก็ไม่สามารถแก้ได้ทุกอย่าง 1 องค์กรก็ไม่สามารถแก้ได้ทุกปัญหา จึงต้องอาศัยความร่วมมือของทุก ๆ ส่วน เพื่อมาต่อยอดความคิด ค้นหาวิธีการแก้ปัญหาหลาย ๆ แบบ

และส่วนของ คุณนฤมล มองว่า ความท้าทายของการเปลี่ยนผ่านไปเป็นสังคมพลังงานไฟฟ้า ทั้งยานยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยความท้าทายจุดแรกมาจากความต้องการการใช้รถใช้ถนนที่หลากหลาย ทั้งรถโดยสารสาธารณะ การใช้รถส่วนตัว หรือการใช้ยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ และการเปลี่ยนผ่านในแต่ละภูมิภาคใช้ระยะเวลาที่ไม่เท่ากัน มาจากปัจจัยทั้งการบังคับใช้กฎหมาย สภาพเศรษฐกิจ และสังคม รวมทั้งการขอความร่วมมือกับภาคการขนส่งเอกชนให้มีการเปลี่ยนผ่านทันทีเลยอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย 

ดังนั้น ความร่วมมือกันแบบบูรณาการของทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนเรื่องอากาศสะอาดเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการตระเตรียมของทางภาครัฐ รวมถึงการประชาสัมพันธ์แผนงานต่าง ๆ ควรทำให้เกิดความชัดเจนในวงกว้าง เช่น แผนการใช้งานยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ หรือการคาดการณ์ความพร้อมของประเทศไทยในการรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะช่วยให้ฝั่งของผู้ผลิตยานยนต์และชิ้นส่วน ผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ และภาคประชาชนเองได้มีการเตรียมตัว และประเมินความพร้อมในการเปลี่ยนผ่าน หรือหากการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้า 100% ใช้เวลา อาจมองว่า เราจะพัฒนาคุณภาพอากาศด้วยเทคโนโลยี หรือสิ่งที่เรามีอยู่ในมือตอนนี้ได้อย่างไร เพื่อเป็นตัวช่วยระหว่างที่ประชาชนรออากาศสะอาดในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

สองวิธีเรียกคืนอำนาจบริหารจากบริษัทตัวเอง ถกประเด็นน่ารู้จากซีรีส์ Queen of tears

เจาะลึกประเด็นซีรีส์ Queen of tears การต่อสู้แย่งชิงอำนาจบริหาร Queens Group กำลังทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ในความเป็นจริงแล้ว ในความเป็นจริงแล้ว ตระกูลฮงจะกลับมายึดคืนอำนาจบริหาร ...

Responsive image

17 เรื่อง AI ต้องรู้ จากรายงาน AI Index 2024

Techsauce ได้สรุป 17 ประเด็นสำคัญจากรายงาน AI Index Report 2024 ซึ่งจัดทำโดย Stanford Institute for Human-Centered Artificial Intelligence (HAI) ที่รวบรวมประเด็นต่างๆ ของปัญญาประดิ...

Responsive image

แนะเทรนด์ลงทุนในสตาร์ทอัพปี 2024 พร้อมช่องทางใหม่ในการระดมทุนจากงาน KATALYST TALK MEETUP #3

บทความที่เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพควรอ่านเพื่อเป็นไกด์ไลน์ในการเผชิญความท้าทายในปีนี้ จากการรับฟังภายในงาน KATALYST TALK MEETUP #3 ‘Navigating the Startup Challenges in 2024 and Beyond’...