หากย้อนเวลากลับไปสัก 2-3 ปีก่อน คำว่า Tech Talent คือภาพของมนุษย์ทองคำ บริษัทน้อยใหญ่แย่งตัวกันไปมา เป็นภาพของกลุ่มคนที่มักได้สวัสดิการหรูหรา และการ Work from Anywhere กลายเป็นมาตรฐานของคนเหล่านี้
แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงปี 2024-2025 ภาพเหล่านั้นกลับดูเลือนลาง โดยเฉพาะปี 2025 ที่เรากำลังจะผ่านพ้นไป เรียกได้ว่าไม่ใช่ปีแห่งการเติบโต แต่เป็นปีแห่งการเฉือนเนื้อเพื่อรักษาองค์กร

บทความนี้คือบทสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 300 กว่าวันที่ผ่าน เราจะมา Recap ปรากฏการณ์ Tech Layoffs ปี 2025 และพาไปสำรวจว่าเกิดอะไรขึ้น และทำไมคำว่า ‘มั่นคง’ ถึงอาจไม่มีอยู่จริงอีกต่อไป
เว็บไซต์ติดตามการปลดพนักงาน Layoffs.fyi รายงานว่าจนถึงปลายปี 2025 มีพนักงานสายเทคถูกเลิกจ้างแล้ว กว่า 120,444 คน จาก 239 บริษัท แม้จำนวนนี้จะลดลงจากปี 2023 ที่สูงถึง 264,000 คน แต่ภาพรวมของปีนี้กลับหนักมากขึ้น เพราะบริษัทเทคที่ปลดพนักงานคือบริษัทขนาดใหญ่และเป็นเสาหลักของอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น

คลื่น Layoff ในปีนี้จึงไม่ใช่การปรับองค์กรแบบเล็ก ๆ ของสตาร์ทอัพอีกต่อไป แต่เป็นการปรับโครงสร้างระดับที่มีผลกระทบต่อซัพพลายเชนทั้งหมด ตั้งแต่ผู้พัฒนาเทคโนโลยี ไปจนถึงผู้ให้บริการ B2B และตลาดแรงงานโดยรวม
ทิศทางนี้สะท้อนอย่างชัดเจนว่าบริษัทเทคกำลังเข้าสู่ยุค Lean Tech ยุคที่พวกเขาจำเป็นต้องทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ใช้คนชำนาญการเฉพาะทางมากขึ้น และพึ่งพาเทคโนโลยีแทนแรงงานซ้ำซ้อนในหลายตำแหน่ง
Goldman Sachs เผยให้เห็นภาพที่น่าสนใจว่า แม้ AI จะถูกเชื่อมโยงกับการ Layoff มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความจริงแล้ว AI ยังไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของการปลดพนักงานส่วนใหญ่ ซึ่งในรายงานของ Goldman Sachs อธิบายสถานการณ์ปี 2025 ไว้น่าสนใจมาก
คือ ในเอกสารทางการมักจะไม่มีผู้บริหารคนไหนพูดชัด ๆ ว่า “เรากำลังปลดพนักงานเพราะ AI” เพราะการพูดแบบนั้นสามารถสร้างความขัดแย้งรุนแรงต่อแบรนด์และวัฒนธรรมองค์กร แต่เมื่อดูข้อมูลจริงจาก S&P 500 จะเห็นชัดว่าบริษัทที่พูดถึง AI ในบริบทแรงงานมากที่สุด เช่น ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ หรือพัฒนานวัตกรรม กลายเป็นกลุ่มเดียวกับที่ลดจำนวนตำแหน่งงานเปิดใหม่ลงมากที่สุดในปีนี้
นั่นหมายความว่าแม้พวกเขาจะไม่ได้ประกาศตรง ๆ ว่า AI ทำให้ต้องลดคน แต่พฤติกรรมด้านการจ้างงานก็สะท้อนว่า AI กลายเป็นเหตุผลลึก ๆ ที่ทำให้บริษัทชะลอการรับคนใหม่
นี่คือสัญญาณที่ Goldman มองว่ามีความหมายใหญ่กว่าแค่รอบเลิกจ้างในปีนี้ นั่นคือ ผู้บริหารกำลังมอง AI ไม่ใช่เพียงเทคโนโลยีช่วยงานอีกต่อไป แต่กำลังถูกจัดวางไว้เป็นโครงสร้างใหม่ของแรงงานในองค์กรระยะยาว เป็นวิธีควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพกว่า
จุดเปลี่ยนของทั้งหมดนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2022 เมื่อ ChatGPT เปิดตัวและโชว์ให้โลกเห็นว่า AI ไม่ได้เป็นแค่โปรแกรมอัตโนมัติ แต่สามารถทำงานระดับผู้เชี่ยวชาญได้ในหลายด้าน ตั้งแต่นั้นผู้บริหารจำนวนมากก็เริ่มมองว่าการขยายคนอาจไม่ใช่คำตอบของการเติบโตอีกต่อไป และเริ่มปรับโครงสร้างทีมให้ lean ลง แล้วค่อย ๆ เพิ่มการพึ่งพา AI เข้าไปแทนตำแหน่งงานใหม่ที่ควรจะเกิดขึ้น
ดังนั้น AI ไม่ใช่การแทนคนทันที แต่คือการหยุดสร้างตำแหน่งใหม่แล้วค่อย ๆ ให้ AI เข้ามากลืนช่องว่างนั้นแทน
ในปี 2025 สิ่งที่เห็นชัดไม่แพ้กระแส Layoff คือ พลังต่อรองของคนทำงานกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ช่วงปี 2021–2022 เคยเป็นยุคทองที่แรงงานเลือกงานได้มากขึ้น เรียกเงินเดือนได้สูง และหลายบริษัทต้องแข่งขันกันสุดตัวเพื่อดึงคนเก่งเข้ามา ตอนนี้สภาพกลับเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
รายงานของ Goldman Sachs พบว่าผู้บริหารใน S&P 500 พูดถึงเรื่องค่าจ้างและต้นทุนแรงงานน้อยลงมาก ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญว่าแรงกดดันด้านค่าจ้างไม่ใช่ปัญหาใหญ่เหมือนก่อนโควิดอีกแล้ว
หนึ่งในเหตุผลสำคัญคือ ตลาดงานเริ่มไม่ได้ตึงตัวเหมือนเดิม บริษัทไม่ต้องแข่งกันจ้างแรงงานเท่าเมื่อก่อน เพราะตำแหน่งงานเปิดใหม่ลดลงทั่วทั้งเศรษฐกิจ และคนตกงานเริ่มหางานใหม่ได้ยากขึ้นกว่าในยุค Great Resignation
นี่ทำให้หลายคนในแวดวงแรงงานเรียกช่วงนี้ว่า Job-hugging era หรือยุคแห่งการกอดงานไว้ให้แน่น หมายความว่าไม่ใช่ยุคที่เลือกงานได้ตามใจอีกต่อไป แต่เป็นยุคที่หลายคนต้องรักษางานปัจจุบัน เพราะโอกาสใหม่ ๆ ไม่ได้มีให้เลือกมากนัก
ในฝั่งบริษัทเอง สิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่างกันมากนัก หลายองค์กรเจอแรงกดดันด้านต้นทุนจากปัจจัยรอบด้าน เช่น ภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น ต้นทุนโลจิสติกส์ที่ผันผวน หรือการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น เมื่อกำไรเริ่มถูกบีบ ผู้บริหารจึงมองหาวิธีลดต้นทุนในส่วนที่ควบคุมได้ง่ายที่สุด นั่นคือ แรงงาน
บางบริษัทมีวิธีรับมือที่ค่อนข้างตรงไป เช่น
ผลลัพธ์จึงกลายเป็นภาพที่แม้ว่าบริษัทจะไม่ได้ปลดพนักงานแบบรุนแรงทุกตำแหน่ง แต่การชะลอการจ้างและเสริมกำลังด้วย AI ทำให้จำนวนงานใหม่ ๆ เข้าสู่เศรษฐกิจน้อยลงกว่าที่เคยเป็นในปีก่อนหน้าเยอะมาก
สุดท้ายปี 2025 จึงอาจไม่ได้เป็นปีที่ AI ทำให้คนตกงานทันทีตามที่หลายคนกลัว แต่คือปีที่ AI ทำให้บริษัท หยุดเพิ่มคน และเริ่มจัดระเบียบองค์กรใหม่เพื่อพึ่งระบบอัตโนมัติมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งถ้ามองดูดีๆ นี่คือการเปลี่ยนผ่านที่เงียบกว่า แต่ก็ทรงพลังยิ่งกว่า และมีผลต่อเนื่องยาวนานกว่า Layoff ครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียว
สิ้นปี 2025 อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนสมดุลระหว่างแรงงานมนุษย์และเทคโนโลยีอย่างแท้จริง และสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ อาจเปลี่ยนโลกการทำงานไปอย่างถาวร
อ้างอิง: techcrunch, fastcompany, fortune, layoffs.fyi
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด