เมื่อช่วงเที่ยงคืนเข้าสู่วันที่ 17 กันยายน 2563 ตามเวลาประเทศไทย Mark Zuckerberg Fouder และ CEO ของ Facebook ได้แถลงข่าวในงาน Virtual Event ผ่านทาง Facebook Live เพื่อสื่อสารกับผู้ใช้ทั่วโลก ในการประกาศเปิดตัว Oculus Quest 2 โดยใช้ชื่อว่า Facebook Connect (เดิมชื่อ Oculus Connect) ซึ่งพัฒนาโดย Facebook Reality Lab หน่วยงานพัฒนาเทคโนโลยี AR / VR เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวของเทคโนโลยีที่ดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว ในการเชื่อมต่อโลกจริงและโลกเสมือน สร้างประสบการณ์ให้มีความใกล้ชิดกับผู้ใช้งานมากขึ้น
ก่อนอื่นในบทความนี้ต้องขอท้าวความก่อนว่า ย้อนเวลากลับไปเมื่อปี 2014 Facebook ได้ตัดสินใจเข้าซื้อกิจการ Oculus บริษัทเทคโนโลยีเสมือนจริง ที่เคยเป็นข่าวดังในการสร้างประวัติศาตร์ขายกิจการด้วยมูลค่าสูงถึง 2 พันล้านเหรียญ โดยที่ยังไม่มีสินค้าจริงออกขายในท้องตลาดแม้แต่ชิ้นเดียว แต่ Mark Zuckerberg กลับมองว่า “นี่เป็นโอกาสของการสร้างแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา...”
แม้ว่าเวลาจะผ่านมาแล้ว 6 ปี และมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เป็นวิกฤตครั้งใหญ่ของโลกเกิดขึ้น และส่งผลกระทบต่อทุกอุตสาหกรรม แต่การพัฒนาเทคโนโลยีของการเชื่อมต่อโลกจริงและโลกเสมือน ทำให้ผู้ใช้อยู่ในสภาพแวดล้อมดิจิทัล ด้วยการซ้อนทับวัตถุเสมือนเข้ากับมุมมองของผู้ใช้ในโลกของความเป็นจริงของ Facebook ยังคงดำเนินโครงการไปอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในอุตสาหกรรมนี้จะไม่ได้มีแค่ Facebook ที่พัฒนาขึ้นมา แต่ยังมีคู่แข่งอย่าง Sony และ HTC ที่อุปกรณ์ VR สามารถสร้างยอดขายเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับเทคโนโลยี VR นั้น ไม่ได้เพียงแต่ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเท่านั้น แต่ในแง่ขององค์กรก็สนใจและนำไปใช้ในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นเทคโนดลยีดังกล่าวก็ยังคงมีข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคของความแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของ Content หรือว่า ราคาที่อาจจะยังคงเข้าถึงยากอยู่
ในการแถลงข่าวได้มี Facebook Connect เป็นการประกาศการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์แว่นตาอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2021 นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอสายรัดข้อมือ EGM ที่ช่วยให้สามารถโต้ตอบกับแป้นพิมพ์เสมือนจริงรวมถึงแอพพลิเคชั่นที่เป็นไปได้ในระบบเครือข่ายประสาทเทียมที่อาจช่วยคนพิการและข้อจำกัดทางกายภาพด้วย
พร้อมกันนี้ในการเปิดผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ว่ามานั้น Facebook ยังมีการพัฒนาระบบที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างคอนเทนท์ด้วยการทำแผนที่สภาพแวดล้อมแบบเรียลไทม์ด้วยความแม่นยำและขอบเขตที่ดีขึ้นกว่าตัวเลือกที่มีอยู่ในระบบที่ผ่านการรวบรวมข้อมูลมาให้ โดย Facebook ได้มีการร่วมมือกับพันธมิตรมากมาย เพื่อสร้างและเชื่อมต่อ ecosystem ของเทคโนโลยี AR/VR ให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงและใกล้ชิดได้มากขึ้นมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น การเป็นหุ้นส่วนแป้นพิมพ์เสมือนจริงของ Logitech ที่ได้รับการยืนยันแล้วสำหรับการรวมเข้ากับแอปพลิเคชัน Oculus Quest รวมถึงการเป็นพันธมิตรกับ New York Times สำหรับการนำเสนอข่าวสารแบบเรียลไทม์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในอนาคต
Facebook ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี VR อย่างชุดหูฟัง Oculus Quest 2 ซึ่งเป็นการผสานเทคโนโลยีแบบ all in one โดยเพิ่มประสิทธิภาพของชุดหูฟัง Quest ดั้งเดิมโดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าจอ และนอกจากการใช้ในเกมส์แล้ว Oculus Quest 2 ยังได้รับการเพิ่มขีดความสามารถให้มีฟีเจอร์ใหม่ ๆ ขึ้นมาด้วย อย่างเช่น FITNESS TRACKING , Facebook Messenger และ INFINITE OFFICE
ในขณะเดียวกัน Facebook กำลังส่งเสริม Quest เป็นเครื่องมือทางธุรกิจ นอกเหนือจากแอปที่ทำงานเสมือนจริง เช่น Spatial แล้ว ยังมีการโปรโมต Infinite Office ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะรวมหน้าจอที่ปรับแต่งได้หลายหน้าจอเข้ากับฟีดกล้องผ่าน ตามหลักการแล้วก็คือ การมีจอภาพจำนวนไม่ จำกัด ในขณะที่ยังได้เห็นโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งจะเปิดตัวในอนาคตอันใกล้
สำหรับ Quest 2 ได้เปิดสั่งจองแล้ววันนี้ และหูฟังจะจัดส่งในวันที่ 13 ตุลาคม ใน 22 ประเทศรวมถึงสหรัฐอเมริกา ชุดหูฟังรุ่น 64GB ขายในราคา $ 299 และ 256GB ราคา $ 399
นอกจากนี้ Facebook กำลังสร้าง "แว่นตาอัจฉริยะ" ด้วย RAY-BAN ต้องบอกว่าเป็นระยะเวลาหลายปีมาแล้วที่ Facebook ได้พูดคุยเกี่ยวกับแว่นตา Augmented Reality โดยได้ร่วมมือกับ RAY-BAN ในการพัฒนาให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในปี 2021 แต่สำหรับแว่นตาที่ได้พัฒนาร่วมกันนั้นอาจจะยังไม่ได้มีความสามารถถึงขั้น ฉายภาพโฮโลแกรมในโลกจริง แต่อาจจะมีลูกเล่นอื่น ๆ ที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ได้ เช่น อาจจะเป็น การป้อนข้อมูลให้คุณผ่านเสียง ก็อาจจะเป็นไปได้
ในขณะเดียวกัน Facebook มีโครงการ AR ขั้นสูงที่เรียกว่า Project Aria เริ่มส่งพนักงาน Facebook ออกไปพร้อมกับแว่นตา Aria เพื่อทำการทดสอบระบบดังกล่าวด้วย
อย่างไรก็ตามการแถลงข่าวเปิดตัว Facebook Connect ในครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญของผู้พัฒนาเทคโนโลยี AR/VR ที่จะสามารถทำให้มีความแพร่หลายในการใช้งาน รวมถึงสามารถทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้มากถึง เพราะเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้สิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้น คือ การนำเทคโนโลยีดังกล่าวไม่ได้มาใช้เพียงแค่ในกลุ่มเฉพาะ หรือแค่ในภาคธุรกิจเท่านั้น แต่ในฝั่งของ End user ก็จะสามารถใช้ทำอะไรได้หลาย ๆ อย่างที่จะมาสร้างการเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตประจำวันเช่นกัน
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด