การก้าวเข้ามาของ FinTech ยังสร้างความท้าทายให้กับผู้ร่วมตลาดในแวดวงการเงินอื่นๆ เช่น ผู้ให้บริการทางการเงินดั้งเดิม (Incumbent) ผู้ทำธุรกิจให้คำปรึกษา ผู้ทำธุรกิจนายหน้าและคนกลาง รวมไปถึงผู้ออกกฎระเบียบ (Regulator) ที่ต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงนี้
Illustration: Bea RamirezFinTech ไม่ใช่เรื่องใหม่ งานศึกษาของ Arner, Jànos Barberis, และ Ross P. Buckley ได้แสดงวิวัฒนาการของเทคโลยีทางการเงิน โดยยุคที่ใกล้ตัวที่สุดคือ Fintech 3.0 หรือยุคหลังเกิดวิกฤติ Subprime อันมาจากภาวะฟองสบู่ของสถาบันการเงินขนาดใหญ่แตก ทำให้ผู้บริโภคลดความเชื่อถือต่อสถาบันการเงินลง และนำไปสู่ความนิยมในการระดมทุนทางเลือก เช่น การทำ Crowdfunding อย่าง Kickstarter หรือผ่านเงินดิจิทัล Cryptocurrency อย่าง Bitcoin
Illustration : Dogtown Mediaหลังวิกฤติ Subprime ทำให้ภาคการเงินหันมาใช้เทคโนโลยีมากขึ้น หลากหลายภาคธุรกิจเริ่มมีการปรับตัว สถาบันการเงินหลายแห่งนำเทคโนโลยีมาใช้ทดแทนมนุษย์เพื่อลดต้นทุน เช่น Robo-advisor มาช่วยนักลงทุนรายย่อยวางแผนการลงทุนแบบอัตโนมัติ
นอกจากนี้การเข้ามาของสมาร์ทโฟนยังทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ทุกที่ทุกเวลา จึงการเกิดของผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง Startup ที่สร้างแพลตฟอร์มสำหรับ Peer-to-Peer (P2P) ให้บุคคลทั่วไปทำธุรกรรมการเงินโดยไม่จำเป็นต้องผ่านสถาบันตัวกลาง โดยมีบริการต่างๆ ทั้งการโอนเงิน การให้และรับสินเชื่อ และสำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนหุ้น
ปี 2560 ถือเป็นปีทองของ FinTech Startup โดยมีมูลค่าการระดมทุนทั่วโลกผ่าน Venture Capital (VC) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 16,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นถึง 4.4 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2556 โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรปและอเมริกาเหนือ อีกทั้งจำนวนบริษัทที่ระดมทุนเพิ่มผ่าน VC ในปี 2560 เพิ่มขึ้นเป็น 1,128 บริษัท จาก 1,023 บริษัทในปี 2559
โดย FinTech Startup ที่อยู่ในช่วง Early Stage มีอัตราลดลงเล็กน้อย แต่ไปเพิ่มขึ้นในช่วง Late Stage ที่เป็นช่วงนำเสนอผลงานเข้าสู่ตลาดและและต้องการเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจ
ข้อมูลจากกระทรวงอุตสาหกรรมพบว่าในปี 2560 มี Startup ในไทยประมาณ 8,000 ราย เป็นจำนวนเพิ่มขึ้นจากเพียง 200 รายในปี 2558 โดยมี startup ที่มีศักยภาพพร้อมดำเนินธุรกิจได้จริงประมาณ 1,500 ราย และมี FinTech Startup มากเป็นอันดับต้นๆ ให้บริการใน 4 กลุ่มธุรกิจหลัก
แพลตฟอร์มที่นำข้อมูลมารวมเอาไว้ให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบและวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของบริการต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น แอปพลิเคชันที่เปรียบเทียบแพคเกจ Refinance ของแทบทุกธนาคาร ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำลงด้วยความรวดเร็ว หรือแพลตฟอร์มที่ให้ผู้ใช้สามารถนำพ้อยท์เครดิตการ์ดจากหลายแห่งมารวมกันและแลกเป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าที่ร่วมรายการ
การให้สินเชื่อรูปแบบ P2P Lending บนออนไลน์กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก โดยมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2568 มูลค่าตลาด P2P ทั่วโลกจะสูงถึง 35.9 ล้านล้านบาท การเติบโตนี้เป็นผลของปริมาณการใช้สมาร์ทโฟนที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการนำข้อมูล Big Data และเทคโนโลยี AI มาช่วยวิเคราะห์และจัดระเบียบข้อมูล เพื่อประกอบการตัดสินใจการให้สินเชื่อสำหรับบุคคลรายย่อยรวมไปถึง SME
ไม่เพียงแต่ผู้บริโภคที่ใช้ระบบการเงินการธนาคารเท่านั้นที่ยังได้รับการบริการไม่ทั่วถึง ผู้ให้บริการในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนก็มีแนวโน้มที่จะลดจำนวนพนักงานลง ทำให้ต้องมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือช่วย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรูปแบบ Robo-advisor ที่พัฒนาจาก AI วิเคราะห์ข้อมูล Big Data ทั้งทางด้านพื้นฐานและข้อมูลด้านเทคนิค พร้อมแนะนำการลงทุนอย่างเหมาะสมสำหรับแต่ละคน ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการของ Robo-advisor ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 16 ล้านล้านดอลล่าร์ ภายในปี 2568
นอกเหนือจากด้านการลงทุน ก็ยังมี Startup ที่ให้คำแนะนำด้านการ วางแผนทางการเงินส่วนบุคคลอีกด้วย อาทิ การจัดการด้านภาษีรายได้ส่วนบุคคล การควบคุมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต และ การบริหาร Cashflow รายบุคคล
Payment ถือเป็นประเภทธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงมากในประเทศไทย เมื่อมีผู้เล่นหลากหลายจากทั้งบริษัทการเงินและบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ที่มีเทคโนโลยีและฐานลูกค้าบนเครือข่ายเข้ามาแข่งขันเป็นจำนวนมาก พร้อมกับความพยายามผลักดันให้ประเทศเข้าสู่สังคมไร้เงินสด มีผู้ให้บริการหลายรายที่ออก e-Wallet สำหรับชำระเงินผ่านสมาร์ทโฟน และอาศัยเทคโนโลยี Blockchain เป็นพื้นฐานให้ไม่สามารถโกงหรือปลอมแปลงข้อมูลทางธุรกรรมได้
Illustration: dispatcheseuropeตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ 4 องค์กรพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) และสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (TLCA) ได้จัดโครงการ “รางวัลสุดยอดนวัตกรรมตลาดทุนไทย 2561 (Capital Market Innovation Awards 2018)” การประกวดเพื่อเฟ้นหาสุดยอดนวัตกรรมตลาดทุนครั้งแรกของประเทศไทยขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมและสร้าง Awareness แก่ผู้มีส่วนร่วมในแวดวงตลาดทุน และสนับสนุนความร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการ รวมไปถึง FinTech Startup มหาวิทยาลัย และบุคคลทั่วไป ให้ผลิตนวัตกรรมด้านตลาดทุนที่ทันสมัย ทั้งนี้ มีผลงานเข้าร่วมประกวดทั้งสิ้น 60 ผลงาน ล่าสุดได้ 10 ผลงานผ่านเข้ารอบตัดสินเพื่อเฟ้นหาสุดยอดนวัตกรรมตลาดทุนไทยแห่งปี ในวันที่ 9 ต.ค. 2561 นี้
รายชื่อผู้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย 10 ทีม
สามารถติดตามรายละเอียดโครงการได้ที่เว็บไซต์ set.or.th/CapitalMarketInnovationAwards
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด