การแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีให้เกิดขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นคือ Digital Payment ซึ่งมีผู้คนมากมายที่ปรับพฤติกรรมหันมาชำระเงินทางดิจิทัล โดย Mobile Wallet ถือเป็นสิ่งที่มีบทบาทหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตนี้เช่นกัน
รายงานการเติบโตของ Mobile Wallet ของ Buku ได้แสดงให้เราเห็นถึงแนวโน้มการเติบโตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2025 ซึ่งแต่ละประเทศจะมีปัจจัยขับเคลื่อนที่แตกต่างกัน แต่ที่น่าสนใจคือ ในบรรดา 6 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ผู้เล่นที่ครองส่วนแบ่งการตลาดสำหรับ Mobile Wallet ส่วนใหญ่จะเป็นผู้เล่นท้องถิ่น ซึ่งแต่ละประเทศจะมีแนวโน้มในอีก 5 ปีเป็นอย่างไร ปัจจัยอะไรที่จะมาขับเคลื่อน และใครครองตลาดอยู่บ้าง ติดตามได้ในบทความนี้
อินโดนีเซียนับว่าเป็นอันดับสามของประเทศที่มีการเติบโตของ mobile wallet เร็วที่สุดในภูมิภาค และยังตั้งเป้าที่จะเพิ่มการใช้งานบริการชำระเงินผ่านมือถือ 3 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า พร้อมทั้งเพิ่มการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านมือถืออีก 10 เท่า โดยมุ่งที่จะเป็นประเทศที่มีอัตราการใช้บัตรเครดิตต่ำต่อไป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสู่การใช้ mobile wallet อย่างเต็มตัวของอินโดนีเซียยังจะทำให้ผู้บริโภคอีกหลายสิบล้านรายเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
• อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการใช้ mobile wallet เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยตั้งเป้าที่จะมีผู้ใช้ mobile wallet เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า (จาก 63.6 ล้านคนเป็น 202 ล้านคน) ภายในปี 2025
• Market Fragmentation เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับการเข้าสู่ยุคการทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือในอินโดนีเซีย โดยในตอนนี้มี mobile wallet 5 บริษัทที่มีชื่อเสียง ในประเทศ และผู้ใช้มักใช้งานแอป mobile wallet มากกว่าหนึ่ง คือมีจำนวนแอปที่ใช้งานคิดเป็นสัดส่วน 3.16 ต่อผู้บริโภค 1 ราย
• ประชากรส่วนมากที่ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นประจำคือวัยหนุ่มสาว ผู้ที่ใช้บริการ mobile wallet ส่วนมาก (81% ของผู้ตอบแบบสำรวจ) เป็นการใช้สำหรับการซื้อออนไลน์
ประเทศมาเลเซียเป็นอีกหนึ่งตลาดที่กำลังพัฒนาและก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วในบรรดาประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีค่า GDP ต่อหัวอยู่ที่ประมาณ 3 เท่าของอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ แต่การชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือในมาเลเซียกลับช้ากว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจาก mobile wallet เข้ามาในประเทศช้ากว่าและได้รับความสนใจในตลาดไม่เพียงพอในช่วงแรก อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้มาเลเซียก็พร้อมสำหรับการวางแผนที่จะเติบโตอย่างรวดเร็วในอีก 5 ปีข้างหน้า ด้วยการกระตุ้นจำนวนผู้ใช้ mobile wallet พร้อมทั้งสร้างระบบที่เอื้อให้เกิดการรองรับการใช้งานเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่า และเพิ่มการทำธุรกรรมอีกกว่า 10 เท่า
• มาเลเซียเป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วสำหรับการชำระเงินผ่านมือถือ และจะตามประเทศ อื่นๆที่มีการใช้ mobile wallet ไปก่อนได้ทันในอีก 5 ปีข้างหน้า
• ตลาด mobile wallet ในมาเลเซียดำเนินการโดยบริษัทหลักๆ 3 บริษัท ได้แก่ GrabPay และ Touch 'N Go ที่มีส่วนแบ่งการตลาดบริษัทละเกือบ 40% และ Boost ที่กำลังเติบโตและก่อให้เกิดการแข่งขันอย่างดุเดือด ขณะนี้มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 22%
• GrabPay ถูกมองว่ามีความได้เปรียบในตลาดที่สุดในมาเลเซีย โดยเป็นแอปตัวเดียวที่เป็น Super App คือมี Ecosystem ภายในตัว ด้วยฟีเจอร์การให้บริการที่ครบถ้วน และยังได้รับการยอมรับเพื่อการใช้งานในประเทศมากกว่าคู่แข่ง
ฟิลิปปินส์เป็นตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว และยังมีการเติบโตด้านการชำระเงินผ่านมือถือไปพร้อมกัน ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินการโดย 2 บริษัทใหญ่ในประเทศ อย่าง GCash และ PayMaya ที่เกิดจากการชำระเงินผ่านมือถือแบบดั้งเดิม และเจ้าของคือผู้ให้บริการมือถืออย่าง Globe และ Smart และในขณะเดียวกัน Grab ก็กำลังเดินหน้าเพื่อทำลายการผูกขาดนี้ และฟิลิปปินส์พร้อมสำหรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของ mobile wallet โดยตั้งเป้าว่าในอีกห้าปีข้างหน้าจะมีการทำธุรกรรมผ่านมือถือเพิ่มขึ้นอีกราว 9 เท่า พร้อมกับอัตราการใช้งานที่จะเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่า
• ฟิลิปปินส์คล้ายกับประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในแง่ของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาของระบบชำระเงินผ่านมือถือ
• GCash และ PayMaya ครองตลาดโดยมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันกว่า 90% อย่างไรก็ตาม GrabPay ก็กำลังมุ่งที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมมอบข้อเสนอที่หลากหลายมากขึ้น
• จากแผนการในอีก 5 ปีข้างหน้าที่มุ่งสร้างการเติบโตของผู้ใช้ mobile wallet เพิ่มอีกกว่า 50 ล้านคน ผู้ให้บริการ mobile wallet จึงมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับการแข่งขันที่ท้าทายในการแย่งชิงผู้ใช้รายใหม่ๆ
แม้ว่าสิงคโปร์เป็นประเทศขนาดเล็กที่มีประชากรเพียง 5.7 ล้านคน แต่ก็มี spending power ระดับ E-Commerce ในเมืองที่มากพอสมควร และยังเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีแห่งภูมิภาคอีกด้วย ซึ่งสิงคโปร์ตั้งเป้าที่จะเพิ่มอัตราการใช้งาน mobile wallet ถึง 95% ภายในปี 2025 และคาดว่าจะมีการทำธุรกรรมผ่านมือถือเพิ่มขึ้น 11 เท่า ไปพร้อมกับการเร่งเข้าสู่การเป็นประเทศเศรษฐกิจดิจิทัลระดับสูง แม้จะมีประชากรเพียงเล็กน้อย แต่บริการการชำระเงินผ่านมือถือก็เฟื่องฟูด้วยข้อเสนอมากมายจากแอประดับ Super App แห่งภูมิภาค อย่าง Grab, telco wallet (Singtel Dash), wallet ของธนาคาร (DBS payLah!) และยังมีบริการแปลงบัตรโดยสารระหว่างประเทศเป็นดิจิทัลอย่าง EZ-Link
• สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยและมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากที่สุดในโลก จึงมีแอปที่พร้อมสำหรับการแข่งขันในตลาด mobile wallet ในอัตราการเติบโตที่สูงมาก แม้ว่าจะมีประชากรน้อยกว่าหลายๆประเทศ
• GrabPay เป็น mobile wallet ที่ใช้กันมากที่สุดในสิงคโปร์ แต่ผู้บริโภคจำนวนมากเลือกใช้ 2 แอป โดยใช้ GrabPay เพราะมีฟังก์ชันการทำงานที่ยอดเยี่ยม ในขณะที่ใช้ Favepay ไปด้วยเพราะมีโปรโมชั่นรางวัลต่างๆมากกว่า
• สิงคโปร์กำลังก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าประชากรราว 95% จะใช้บริการ mobile walletภายในปี 2025
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่กำลังเติบโตอย่างมั่งคั่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอยู่ในขั้นเริ่มต้นของการใช้บริการชำระเงินผ่านมือถือ ซึ่งใน 5 ปีข้างหน้า คาดว่าจะมีอัตราการใช้งาน mobile wallet เพิ่มขึ้นอีก 3 เท่า และมีการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้นกว่า 7 เท่า โดยขณะนี้ มีการดำเนินการใช้ mobile wallet ส่วนใหญ่ผ่าน TrueMoney จากผู้ให้บริการมือถือ True ซึ่งถือส่วนแบ่งการตลาดกว่า 50% และอีกหนึ่งวิธีการชำระเงินที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดและกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว คือบริการการชำระเงินแบบ real-time ผ่าน PromptPay ซึ่งมอบตัวเลือกการชำระเงินทั้งแบบ standalone และแบบการเติมเงินทันทีสำหรับ mobile wallet
**ข้อมูลข้างต้นเป็นการรวบรวมของปี 2020 ซึ่งในประเทศไทย AirPay ได้มีการรีแบรนด์เป็น ShopeePay เมื่อเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา
• ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งตลาดการชำระเงินผ่านมือถือที่เติบโตอย่างรวดเร็วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า) และมีกำลังซื้อมากกว่าหลายประเทศ
• PromptPay (พร้อมเพย์) คือตัวเลือกใหม่ในการชำระเงินแบบ real-time โดยมีแนวโน้มว่าจะช่วยเพิ่มปริมาณการใช้ mobile wallet ในประเทศ เนื่องจากจะทำให้การเติมเงินในบัญชีรวดเร็วและง่ายขึ้นสำหรับผู้ใช้
ประเทศเวียดนามคล้ายคลึงกับประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตของการชำระเงินผ่านมือถือ โดยการเติบโตของธุรกรรม mobile wallet ในเวียดนามในอีก 5 ปี คาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่า 7 เท่า และคาดว่าอัตราการใช้งานและมูลค่าธุรกรรมจะเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า ซึ่งการดำเนินการให้บริการ mobile wallet ส่วนใหญ่เป็นของ Momo (Mobile Money) วอลเล็ตที่โดดเด่นในตลาด ด้วยส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% และเงินร่วมลงทุนจำนวน 230 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดย Momo มีฟังก์ชันการทำงานที่เหนือกว่าคู่แข่งและยังมีแนวโน้มที่จะพัฒนาต่อเป็น Super App จากการรวบรวมเงินทุนครั้งล่าสุด
• ประเทศเวียดนามมีตลาดการชำระเงินผ่านมือถือที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 เท่าในทุกตัวชี้วัดหลัก
• เนื่องจากประเทศมีอัตราการใช้สมาร์ทโฟนที่สูง เวียดนามจึงมีโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลและการใช้งานการชำระเงินผ่านมือถือที่เติบโตได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ตลาดนี้พร้อมสำหรับการเติบโตของ E-Commerce
• Momo กลายเป็นบริษัทให้บริการ mobile wallet ที่โดดเด่น แต่ก็มีคู่แข่งที่กำลังเติบโต อย่าง Viettel ผู้ประกอบการจึงต้องประเมินเรื่องความยอมรับในการใช้งาน mobile wallet ของผู้ใช้เพื่อการแข่งขันในอนาคต
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด