วันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา อาจนับเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของวงการ AI เมื่อหกสุดยอดนักวิจัยและผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกด้านปัญญาประดิษฐ์ได้แก่ Jensen Huang, Yoshua Bengio, Geoffrey Hinton, Fei-Fei Li, Yann LeCun และ Bill Dally ร่วมวงสนทนาบนเวที FT Future of AI Summit ที่ลอนดอน เพื่อย้อนมองเส้นทาง 40 ปีของ Deep Learning และชี้ทิศอนาคตที่กำลังจะเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และสังคมมนุษย์ไปตลอดกาล

ทั้ง 6 คน (รวมถึง John Hopfield) คือผู้ได้รับ The 2025 Queen Elizabeth Prize for Engineering รางวัลสูงสุดที่ยกย่องวิศวกรรมระดับโลกซึ่งถูกขนานนามว่า ‘รางวัลโนเบลด้านวิศวกรรม’ จากผลงานปูรากฐานให้กับ Machine Learning และ AI ยุคใหม่
และสิ่งที่เกิดขึ้นในวงเสวนานี้ ไม่ได้เป็นแค่การพูดคุยเชิงเทคนิค แต่คือการมองอนาคตของมนุษยชาติ ผ่านสายตาของคนที่สร้างเทคโนโลยีทรงพลังที่สุดในยุคของเรา
พิธีกรชวนแต่ละคนเล่าว่า อะไรคือ aha moment ที่ทำให้เส้นทางชีวิตเบี่ยงมาอยู่ตรงนี้ ซึ่งคำตอบก็ได้มาแบบไม่คาดคิด เพราะแต่ละคำตอบไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยีเลย แต่คือเรื่องของความสงสัย ความเหงา ความเชื่อ และความกลัว

Bengio เล่าว่าชีวิตของเขามี 2 จุดเปลี่ยนสำคัญ คือ ช่วงแรกเกิดขึ้นตอนยังเป็นนักศึกษาปริญญาเอก เขาอ่านงานวิจัยของ Geoffrey Hinton แล้วรู้สึกเหมือนเจอเป้าหมายของวิทยาศาสตร์ และนั่นคือวันที่ทำให้เขาเลือกเส้นทางนี้
อีกช่วงหนึ่งเกิดขึ้นหลัง ChatGPT เปิดตัว ตอนที่เขาตั้งคำถามกับตัวเองและโลกว่า “ถ้าเราให้เครื่องจักรมีเป้าหมายของมันเอง แล้วเราไม่ควบคุมได้ล่ะ ?” ตั้งแต่นั้นเขาจึงเปลี่ยนแนวทางวิจัยไปสู่เรื่องความปลอดภัยของ AI อย่างเต็มตัว

Dally เล่าถึงช่วงปี 2010 ตอนกำลังกินอาหารเช้ากับ Andrew Ng ที่เล่าให้เขาฟังถึงโปรเจกต์สอนคอมพิวเตอร์ให้หาแมวในอินเทอร์เน็ตด้วยโครงข่ายประสาทขนาดใหญ่
คำว่า ‘แมว’ อาจฟังดูง่ายๆ เบาๆ แต่สิ่งที่ตามมาคือการออกแบบ GPU ใหม่ เพื่อรองรับการประมวลผลแบบที่โลกยังไม่รู้ว่ากำลังจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งในยุคนี้ นั่นคือ การปฏิวัติ deep learning

Hinton เล่าว่าในปี 1984 เขาลองให้โมเดลทำนายคำถัดไปในประโยค และค้นพบว่ามันค่อยๆ สร้างความหมายจากการคาดเดา แต่ข้อจำกัดมีเพียงหนึ่งเดียว คือ ขาด compute และขาดข้อมูล
งานวิจัยเล็กๆ ชุดนั้นกลายเป็นต้นแบบของ LLM ที่เราใช้กันในวันนี้ แสดงให้เห็นว่าบางครั้งประวัติศาสตร์ไม่ได้เริ่มจากความใหญ่โต แต่เริ่มจากห้องแล็บที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์แค่ไม่กี่เครื่อง

Fei-Fei เล่าว่าปัญหาการมองเห็นของคอมพิวเตอร์ไม่ใช่อัลกอริทึม แต่คือความอดอยากข้อมูล มนุษย์เรียนรู้จากภาพนับล้านตั้งแต่เด็ก แต่คอมพิวเตอร์ไม่เคยมีประสบการณ์นั้นเลย ดังนั้น ImageNet จึงเกิดขึ้นจากไอเดียเรียบง่าย “ถ้าไม่มีข้อมูล ก็สร้างมันขึ้นมา”จนเกิดเป็น 15 ล้านภาพและการติดป้ายกำกับจากผู้คนทั่วโลก คือจุดเริ่มของยุคที่เครื่องจักรเริ่มเห็นโลกอย่างที่มนุษย์เห็น

Jensen บอกว่าตอนแรกเขาเห็น deep learning เป็นเหมือนแบบแปลน ที่มีโครงสร้างเหมือนการออกแบบฮาร์ดแวร์ และความเหมือนเล็กๆ ตรงนั้นทำให้เขาเห็นอนาคต ว่าโมเดลสามารถสเกลได้แบบเดียวกับชิป เพียงแต่ต้องมีโรงงานเฉพาะสำหรับสร้างปัญญาขึ้นมา

LeCun เล่าว่ายุคหนึ่งแทบไม่มีใครสนใจ unsupervised learning แต่เขาเชื่อเสมอว่ามันคือวิธีที่สมองจริงๆ ใช้ และวันนี้โลกก็กลับมาที่แนวคิดนี้ผ่าน LLM ที่เรียนรู้โดยคาดเดาคำถัดไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพราะมีคนบอกว่าคำไหนถูกหรือผิด
ช่วงกลางวงเสวนาเมื่อประเด็นเรื่องฟองสบู่ถูกยกขึ้นมา การโต้ตอบไม่ได้จบที่คำตอบว่ามีหรือไม่มี แต่พาเราไปดูความแตกต่างเชิงโครงสร้างระหว่างยุคดอทคอมกับยุค AI วันนี้ ซึ่งมีนัยสำคัญทั้งเชิงเทคนิค เชิงเศรษฐกิจ และเชิงการใช้งานจริง
Jensen Huang ชี้ว่าในยุคดอทคอมใยแก้วนำแสงส่วนใหญ่ยังไม่ได้ถูกใช้ แต่ในยุคนี้ทุก GPU ถูกใช้งานเต็มประสิทธิภาพ ทั้งเพื่อการฝึกโมเดลและการให้บริการจริงในระบบต่างๆ ตั้งแต่ชอฟต์แวร์ขององค์กรจนถึงแพลตฟอร์มระดับผู้ใช้ทั่วไป ดีมานด์ไม่ได้มาจากความคาดหวัง แต่มาจากการใช้งานที่เกิดขึ้นจริงและเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ
Bill Dally Bill มองว่าแม้การลงทุนจะใหญ่ แต่การใช้งานของ AI ยังอยู่ในเฟสเริ่มต้นมาก เพียง 1% ของศักยภาพทั้งหมด แอปพลิเคชันระดับอุตสาหกรรม เช่น การแพทย์ พลังงาน การผลิต และโลจิสติกส์ ยังเพิ่งเริ่มทดลองใช้ ดังนั้นโครงสร้างพื้นฐานยังต้องขยายอีกมหาศาลเพื่อรองรับงานที่จะเกิดขึ้นในทศวรรษต่อไป
Yann LeCun เตือนว่า แม้ AI มีประโยชน์เชิงธุรกิจจริง แต่ อย่าคิดว่า LLM ปัจจุบันคือเส้นทางตรงไปสู่ความฉลาดระดับมนุษย์ โมเดลภาษายังขาด common sense และความเข้าใจโลกทางกายภาพแบบสัตว์หรือมนุษย์ เขาย้ำว่าเรายังไม่มีเครื่องจักรที่ฉลาดเท่าแมว และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมขีดความสามารถ กับมูลค่าทางเศรษฐกิจเป็นคนละเรื่องกัน
เมื่อวงเสวนาเดินมาถึงช่วงท้าย ผู้ดำเนินรายการโยนคำถามที่เหมือนจะเรียบง่ายแต่หนักที่สุดของงานทั้งวัน “แล้วเมื่อไหร่เราจะมี AI ที่ฉลาดเท่ามนุษย์ ? ”
Geoffrey Hinton เป็นคนแรกที่ตอบ เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า หากมองจากความเร็วของพัฒนาการที่ผ่านมา ภายใน 20 ปีเราน่าจะมีเครื่องจักรที่เถียงชนะมนุษย์ทุกครั้งในการโต้วาที เขาไม่ได้พูดด้วยความตื่นเต้นหรือหวาดกลัว แต่ด้วยน้ำเสียงของนักวิจัยที่เฝ้าติดตามความคืบหน้าของเทคโนโลยีมาตลอดชีวิต
ต่างจาก Yoshua Bengio ที่มองตัวเลขสั้นกว่านั้นมาก เขาชี้ว่าถ้าความสามารถของโมเดลยังโตเร็วมาก เราอาจเห็นระดับทำงานแทนพนักงานทั่วไป ภายใน 5–10 ปีเท่านั้น เขาไม่ได้ฟันธงว่า AI จะเป็นเหมือนมนุษย์ทั้งหมด แต่ยอมรับว่าความเร็วของความก้าวหน้าเริ่มทำนายยากขึ้นเรื่อยๆ
Yann LeCun กลับมองต่างออกไป เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนพูดว่าการถามว่า AGI จะมาถึงเมื่อไหร่ อาจเป็นคำถามที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะ AI จะไม่กระโดดขึ้นไปถึงระดับมนุษย์ในวันใดวันหนึ่ง มันจะค่อยๆ ขยายความสามารถทีละด้าน ราวกับเรากำลังต่อภาพ Puzzle ที่ยังขาดชิ้นส่วนสำคัญอีกจำนวนมาก เขาย้ำว่าเรายังต้องการ paradigm ใหม่ซึ่งเป็นวิธีเรียนรู้คนละแบบกับ LLM ที่เรารู้จักกันในตอนนี้
Fei-Fei Li เลือกใช้คำอธิบายแบบเปรียบเทียบ เธอบอกว่า AI วันนี้เก่งกว่ามนุษย์ในหลายเรื่อง เช่น การจำแนกหมวดหมู่ภาพหรือการแปลหลายร้อยภาษา แต่ในอีกหลายด้าน เช่น การใช้สามัญสำนึก การเคลื่อนไหวในโลกจริง การเข้าใจสถานการณ์ทางสังคม มันยังห่างจากมนุษย์มาก และบางด้านอาจไม่มีวันเหมือน เพราะเครื่องจักรไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากพื้นฐานแบบเดียวกับสมองมนุษย์
Jensen Huang มองต่างไปอีกแบบ เขาบอกว่าไม่ว่าจะใช้คำว่า AGI หรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุดสำหรับเขา สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือ AI ทุกวันนี้ฉลาดพอที่จะนำไปใช้แก้ปัญหาในโลกจริงแล้ว และความท้าทายที่เหลือคือการนำมันไปใช้อย่างมีความรับผิดชอบ ไม่ใช่การถกเถียงเรื่องคำเรียก
ปิดท้ายด้วย Bill Dally ที่ชี้ชัดว่า เป้าหมายของเขาไม่ใช่สร้างเครื่องจักรมาแทนมนุษย์ แต่คือการสร้างเครื่องมือที่ เสริมความสามารถของมนุษย์ ทำงานที่มนุษย์ทำได้ไม่ดีนัก เพื่อให้เรามีเวลาทำสิ่งที่เป็นมนุษย์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความคิดสร้างสรรค์หรือการดูแลกันและกัน
สิ่งที่ 6 ผู้บุกเบิก AI ทิ้งไว้ให้คิดไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูป แต่เป็นภาพอนาคตที่กำลังเปิดกว้าง และต้องอาศัยการตัดสินใจร่วมกันของทั้งนักวิจัย ผู้กำหนดนโยบาย และผู้ใช้ทุกคน เพราะสุดท้ายแล้ว อนาคตของ AI ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของเทคโนโลยี แต่คือเรื่องของเราว่าจะเลือกพามันไปทางไหน
อ้างอิง: https://www.youtube.com/watch?v=0zXSrsKlm5A
_____________________
เตรียมความพร้อมให้ธุรกิจของคุณก้าวสู่ยุค AI อย่างมั่นใจ ด้วยการพัฒนา people, process และ technology อย่างครบวงจรไปกับ Techsauce
ร่วมสำรวจแนวทางและโอกาสในการเปลี่ยนผ่านสู่ AI-first organization ไปกับเรา techsauce
เพื่อนร่วมทางในการพัฒนา AI journey ของคุณ ได้ที่: https://services.techsauce.co/contact-us
หรืออีเมล [email protected]
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด