CES (Consumer Electronics Show) คืองานแสดงเทคโนโลยีระดับโลกที่จัดขึ้นทุกปี ณ ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา งานนี้ถือเป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมบริษัทชั้นนำ นักพัฒนา และผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายอุตสาหกรรมมานำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ และผลิตภัณฑ์แห่งอนาคต ซึ่งมักจะกำหนดทิศทางของวงการเทคโนโลยีในแต่ละปี
CES ไม่เพียงแค่เปิดตัวเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ผู้คนทั่วโลกได้เห็นเทรนด์ใหม่ๆ ที่จะเปลี่ยนชีวิตประจำวันของเรา ตั้งแต่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยานยนต์ไฟฟ้า สมาร์ทโฮม หรือแม้แต่อุปกรณ์ทางการแพทย์
ในปี 2025 นี้ CES จะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับนวัตกรรมที่น่าตื่นเต้นมากมาย Techsauce จึงขอพาทุกคนสำรวจโลกแห่งอนาคตผ่านแนวโน้มเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนโฉมโลกใบนี้จากงาน CES 2025!
Agentic AI คือระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ไม่เพียงแค่รับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม แต่ยังสามารถใช้ข้อมูลเหล่านั้นในการตัดสินใจและทำให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ โดยระบบนี้จะใช้เทคโนโลยีอย่าง Machine Learning (ML) และ Natural Language Processing (NLP) เพื่อให้สามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง และเรียนรู้จากคำสั่งหรือเป้าหมายที่ได้รับ
โดยงาน CES ปีนี้ได้เห็นความสนใจที่เพิ่มขึ้นในเทคโนโลยี Agentic AI ซึ่ง Nvidia เรียกว่า เป็นพรมแดนใหม่ของวงการ AI เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ AI ทำงานได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์มากนัก
หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจของ Agentic AI คือ Project Mariner ของ Google ซึ่งเป็นระบบอัจฉริยะที่สามารถทำงานและจัดการบริการบนเว็บต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเองโดยอัตโนมัติ แนวโน้มนี้คาดว่าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย Gartner ได้คาดการณ์ว่า ภายในปี 2028 ระบบ Agentic AI อาจมีบทบาทในการตัดสินใจในงานประจำวันได้ถึง 15% โดยไม่ต้องอาศัยการควบคุมจากมนุษย์
สำหรับนวัตกรรมยานยนต์ (Automotive Innovation) จากงาน CES 2025 วงการรถยนต์กำลังพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้น โดยเฉพาะการนำ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ร่วมกับการออกแบบระบบในรถยนต์
ล่าสุด LG ได้เปิดตัวเทคโนโลยี "AI In-Vehicle Experience" ที่ใช้ AI ช่วยทำให้ห้องโดยสารรถยนต์ฉลาดขึ้น ระบบนี้มีสองส่วนหลัก คือ ระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ (Driver Monitoring System) และ ระบบตรวจสอบภายในห้องโดยสาร (Driver and Interior Monitoring System)
เทคโนโลยีนี้มีความสามารถ เช่น การตรวจวัดสุขภาพแบบเรียลไทม์ อย่างการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ หรือการดูอารมณ์จากสีหน้าของผู้ขับขี่ นอกจากนี้ยังช่วยตรวจสอบความตื่นตัว และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เช่น เส้นทางการเดินทางที่ปรับเปลี่ยนได้ และสภาพถนนที่อัปเดต
ในขณะเดียวกัน BMW ได้เปิดตัว หน้าจอ Panoramic iDrive ซึ่งถือเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่สำหรับอินเตอร์เฟซของรถยนต์ หน้าจอใหม่นี้จะครอบคลุมเกือบทั้งความกว้างของแผงหน้าปัด โดยข้อมูลของผู้ขับขี่จะถูกย้ายไปแสดงในระบบ Head-Up Display และยกเลิกการใช้ตัวควบคุม iDrive แบบดั้งเดิม BMW มุ่งเน้นการออกแบบวิธีใหม่ในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ขับขี่กับรถยนต์
นวัตกรรมนี้จะเริ่มใช้งานจริงในรุ่น iX3 เจเนอเรชันที่สองในปลายปี 2025 และในรถซีดาน i3 ในปี 2026 จากนั้นจะขยายสู่รุ่นอื่น ๆ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ BMW ทั้งในรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปในอนาคต
ความก้าวหน้าของพลังการประมวลผล เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่น่าจับตามองอย่างมากใน CES 2025 หลัง Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia กล่าวเปิดงานด้วยการเปิดตัว GeForce RTX 50 series การ์ดจอรุ่นใหม่ที่คาดว่าจะเป็นการปฏิวัติวงการด้านกราฟิก ขณะที่คู่แข่งอย่าง AMD ก็กำลังเตรียมเผยโฉมสถาปัตยกรรม RDNA 4 เพื่อแข่งขันในตลาด นอกจากนี้ Intel ก็ไม่ยอมน้อยหน้านำเสนอการ์ดจอ Arc B580 Battlemage GPU ซึ่งเน้นทั้งประสิทธิภาพและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิผล ส่งผลให้ตลาดกราฟิกการ์ดในกลุ่มราคาประหยัดเริ่มร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง
อีกหนึ่งกระแสที่ยังคงเป็นที่จับตามองมาตั้งแต่ปีที่แล้วคงไม่พ้น การนำหน่วยประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ (Neural Processing Units - NPUs) และความสามารถ AI รวมเข้ากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะการพัฒนา AI Processing ในอุปกรณ์พกพา เช่น แล็ปท็อปและสมาร์ทโฟน ซึ่งผู้ผลิตพยายามเพิ่มขีดความสามารถด้วยฮาร์ดแวร์ AI เฉพาะทาง ทำให้ประสิทธิภาพและการใช้งานของอุปกรณ์เพิ่มขึ้นอย่างมาก
การพัฒนาเทคโนโลยีหน้าจอเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่น่าสนใจในงาน CES ทุกปี และปีนี้ก็ไม่ต่างกัน โดยหนึ่งในนวัตกรรมที่ถูกจับตามองคือ เทคโนโลยี QD-Mini LED จาก TCL ซึ่งผสานเทคโนโลยี Quantum Dot เข้ากับ Mini LED เพื่อยกระดับคุณภาพการแสดงผล ด้วยการควบคุมแสงในระดับพิกเซล ช่วยให้มีความคมชัดสูง และความสว่างสูงสุดที่ดียิ่งขึ้น สิ่งนี้อาจช่วยให้ทีวี Mini LED ใกล้เคียงกับทีวี OLED ในแง่ของคอนทราสต์และการแสดงผลสีดำสนิท แต่ไม่มีข้อเสียเรื่องความสว่างที่ลดลงหรือปัญหาเบิร์นอิน (Burn-in) ที่มักพบใน OLED
อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่น่าสนใจจาก TCL คือ หน้าจอ Nxtpaper ซึ่งใช้การออกแบบหน้าจอหลายชั้นร่วมกับ Circularly Polarized Light และ Nano-Etching เพื่อสร้างประสบการณ์การดูที่เหมือนอ่านบนกระดาษ เหมาะสำหรับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ช่วยลดความเมื่อยล้าของสายตา เทคโนโลยีนี้ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ลดการกระพริบของแสง (DC Dimming) และการปรับอุณหภูมิสีอัตโนมัติตามแสงโดยรอบ เพื่อเพิ่มความสบายตาในการใช้งาน
อ้างอิง: forbes
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด