G-ABLE บริษัทด้านไอทีโซลูชั่นรายใหญ่ของไทย ได้เปิดทิศทางใหม่ สู่การเป็น Digital Transformation Agent หรือ ผู้ให้บริการการทำ Digital Transformation โดยได้มีการจัดงานแถลงข่าวและงานบรรยายความรู้เกี่ยวกับการทำ Digital Transformation ในวันที่ 26 เมษายน 2560 ซึ่งทีม Techsauce ได้เข้าร่วมงานและสรุปข้อมูลออกมา มีประเด็นที่น่าสนใจต่างๆ ดังนี้
61 -> 25 -> 18
รายงานของ McKinsey ระบุว่า อายุขัยเฉลี่ยของบริษัท มีแนวโน้มจะลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 61 ปี ในปี 1958 และ 25 ปี ในปี 1980 ...และแล้วปี 2011 ตัวเลขอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 18 ปีเท่านั้น
3 สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้บางธุรกิจหายไปก็คือ
จึงเป็นเรื่องสำคัญที่บริษัทจะต้องสามารถคงจุดแข็งทั้งสามประการเอาไว้ให้ทัน ซึ่งคำว่า 'Digital Transformation' ซึ่งหลายๆ คนอาจเข้าใจว่าเป็นการปรับปรุงเทคโนโลยีของบริษัทเพียงอย่างเดียว จริงๆ แล้วคำๆ นี้ครอบคลุมทั้ง Technology, Innovation, Business Strategy, การเข้าใจลูกค้า และอีกหลายองค์ประกอบมาก
นั่นทำให้การทำ Digital Transformation ไม่ใช่เรื่องง่าย และยังมีความต้องการในด้านนี้อยู่มาก
ความต้องการด้าน Digital Transformation นั้นมีอยู่จริง ทำให้เริ่มมีผู้เล่นที่สนใจเป็น Digital Transformation Agent และในขณะเดียวกัน หลายๆ องค์กรก็กล่าวว่าตนกำลังทำด้านนี้ด้วยตนเอง
Techsauce ยิงคำถามสำคัญกับคุณสุเทพ อุ่นเมตตาจิต กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท G-ABLE ถึงหัวใจหลักที่ทำให้ G-ABLE มีความพร้อมและโดดเด่นในการเป็น Digital Transformation Agent
โดยคุณสุเทพ ได้เปิดเผย 3 กุญแจสำคัญ และ 3 เทคโนโลยีเสาธงหลักของบริการ Digital Transformation ที่ G-ABLE
หลัก 3 ข้อที่บริษัทวางไว้ คือต้องทำให้ธุรกิจวัดผลได้ (Measurable) ทำงานได้อัตโนมัติ (Automated) และขยายผลเพื่อรองรับการเติบโตได้ (Scalable)
3 สิ่งนี้คือ Core Values สำคัญในการทำ Digital Transformation
“Deliverables ที่เราให้กับลูกค้านั้นเปลี่ยนไป เราไม่ได้ให้กล่อง[ซอฟแวร์/ฮาร์ดแวร์] กับลูกค้า แต่เราจะให้ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ทางธุรกิจ (Measurable)"
คุณสุเทพ ยกตัวอย่างต่อว่า "ถ้ามีลูกค้ารายนึงต้องการว่า อยากให้ทำบัตรสมาชิกของเขา มีการซื้อขายเกิดขึ้น มี Yield ที่ดีขึ้นกว่าเดิม เราจะนั่งคุยกับเขา นอกจากเราจะช่วยดูว่าเราจะผสมผสานเทคโนโลยีเข้าหาธุรกิจเขาได้อย่างไรบ้างแล้วนั้น เรายังช่วยมองภาพว่าสถาปัตยกรรมที่จะนำเสนอ ที่จะทำให้มันทำงานอัตโนมัติ (Automated) ได้ และรองรับการเติบโต (Scalable) ได้ จะทำได้อย่างไรบ้าง"
คุณสุเทพ ยังเสริมด้วยว่า นอกจากนี้จะมีการพิจารณาความคุ้มทุนทางธุรกิจ และปัจจัยของแต่ละธุรกิจ เช่น Telecom ต้องการความเร็ว, ธนาคาร ต้องการความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัย,โรงแรม เรื่องเดดไลน์มีความสำคัญ เป็นต้น และช่วยจับประเด็นทางธุรกิจต่างๆ เช่น
"พอเป็น Digital Transformation Agent จะแตกต่างจากแต่ก่อนที่เราทำธุรกิจ System Integrator ซึ่งสิ่งที่ทำเรียบง่ายเพียงแค่ส่งของให้ตรงตามสเปค และทันเวลา ก็เรียบร้อย แต่ตอนนี้ครบสเปค ทันเวลา ก็ยังไม่พอ เพราะต้องตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้ว่าสุดท้ายแล้วเขาได้ผลลัพธ์อะไร"
คุณสุเทพ เสริมว่า "ถ้าเราจะให้ลูกค้า มันไม่ใช่แค่เรื่องความสามารถทางเทคโนโลยี แต่ กระบวนการทำงานภายใน ความเชื่อของคนภายใน เครื่องไม้เครื่องมือที่ให้คนทำงาน มันต้องเปลี่ยนไปด้วย"
โดย G-ABLE มีจุดแข็งดั้งเดิม เรื่องการทำ Integration, การทำ Project Management, การทำ Post-Sales Support, การบริหารจัดการเซอร์วิสต่างๆ ให้กับลูกค้าอยู่แล้ว และปีนี้ G-ABLE จะมีการลงทุนในเรื่องเทคโนโลยี เรื่องบุคลากรด้านเทคโนโลยีและด้านธุรกิจ และความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ต่างๆ เพื่อให้สามารถให้บริการได้อย่างครบวงจรมากยิ่งขึ้น
“ด้าน People เรามีการจ้างคนเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% โดยเฉพาะในทีมงานที่ดูโซลูชัน Big Data, Security และ Digital Marketing ในส่วนของ Partner เราวางแผนร่วมมือกับทั้ง Microsoft และ Oracle รวมถึง Partner ระดับโลกอื่นๆ ในการนำเทคโนโลยี IT และ Digital ขั้นสูงมาติดตั้งให้กับองค์กรไทย”
“ด้าน Technology เราลงทุนสร้างนวัตกรรมของเราเอง ที่เห็นชัดคือโครงการ Big Data Experience Center ซึ่งร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีจัดตั้งให้เป็นศูนย์ให้คำปรึกษาและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ Big Data ครบวงจร แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งส่งเสริมการพัฒนาโซลูชัน Big Data ขั้นสูงด้วยฝีมือคนไทย และได้ถูกนำไปใช้ในหลายองค์กรชั้นนำอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ยังขยายไปสู่เทคโนโลยีขั้นสูงอื่นๆเช่น Artifact Intelligent, Chatbot, Machine Learning และ Marketing Technologies อีกด้วย”
Flagship 3 เรือธงหลักที่ G-ABLE ชูเป็นจุดเด่น ประกอบไปด้วย Big Data Analytics, Marketing Technologies และ Cloud Infrastructure
โดยรอบปี 2016 ที่ผ่านมา ยอดขายโซลูชัน Big Data ของ G-ABLE เติบโตสูงขึ้น 86% ขณะที่ยอดขายโซลูชัน Digital Marketing (Marketing Technologies) เติบโตมากกว่า 70% และ Cloud Infrastructure เติบโตถึง 20%
คุณสุเทพเปิดเผยเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Flagships ทั้งสามดังนี้
ช่องทางการตลาดแบบดั้งเดิม (Traditional Marketing) นั้นมีราคาแพง ประสิทธิผลต่ำ และวัดผลลำบาก อย่างไรก็ดี Digital Marketing ในตลาดที่ผ่านมาโดยส่วนมากเป็นเพียงแค่การทำ Digital Production แบบพื้นฐานเท่านั้น (เช่น Viral Ads, Fanpage ที่มีการปั่นยอด Likes) ไม่ได้เน้นการใช้เทคโนโลยีการตลาด (Marketing Technologies) ในการสร้างธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม
“ถ้าหากดูบริษัทระดับโลกที่ทำ Digital Marketing นั้นจะไม่ได้เน้นแค่การทำ Creative Ads อย่างที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจ แต่พวกเขามีการลงทุนเทคโนโลยีและวิศวกรรมอย่างมาก (เรียกรวมว่า Marketing Technologies) โดยเฉพาะการทำ Big Data Analytics, CRM, Marketing Automation, Marketing Cloud, ROI Optimization, High Performance Website, Customer Behavior Modeling, Personalization Ads เป็นต้น และโซลูชันด้าน Marketing Technologies เหล่านั้นคือสิ่งที่ G-ABLE โดดเด่นกว่า Traditional Agency ที่มีอยู่ในตลาด เพราะจุดแข็งของพวกเขาอยู่ที่การทำ Creative Productions แบบดั้งเดิมเป็นหลัก”
ที่ผ่านมาบริษัทที่มีความตื่นตัวต่อ Digital Transformation จะเป็นบริษัทในกลุ่มแถวบน ซึ่งมีนโยบายในการลงทุนกับเทคโนโลยี แต่ต่อไป Digital Transformation จะเป็นเรื่องที่สำคัญมากต่ออุตสาหกรรมอื่นๆ ด้วย โดย G-ABLE มองว่า ในอีกสองแถวถัดมานั้น จะขยับเข้ามาสู่การทำ Digital Transformation เช่นเดียวกัน
สำหรับข้อมูล Insights ต่างๆ เกี่ยวกับ Digital Transformation และบริษัท G-ABLE สามารถติดตามได้จากสไลด์การบรรยายที่นี่
เกี่ยวกับ G-ABLE
G-ABLE คือบริษัทผู้พัฒนา, ติดตั้งจนถึงให้บริการด้านระบบ IT และ Digital ในไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำระดับโลกในด้าน modern digital solutions, enterprise business solutions และ IT infrastructure solutions โดยมีกลุ่มลูกค้าซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำในภาคเอกชนและรัฐบาล
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด