Techsauce ร่วมกับ Beryl 8 Plus บริษัทที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และการพัฒนาโซลูชันสำหรับทรานส์ฟอร์มธุรกิจ ที่ให้บริการแบบครบวงจรในด้าน CRM, ระบบวิเคราะห์ข้อมูล และเทคโนโลยีดิจิทัล จัด Virtual Event "Techsauce x Beryl 8 Plus: Deliver the Next Generation Customer Service with Genesys ล้ำหน้ากว่ากับการบริการลูกค้าด้วยระบบ Cloud แห่งอนาคตจาก Genesys" เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2565
โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญร่วมการเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองกับเรา 2 ท่าน ได้แก่
ในช่วงต้นของการสนทนา คุณชาญศักดิ์ สกุลวิระ Solutions Architect - Technical บริษัท Beryl 8 Plus ได้เสนอมุมมองถึงเทรนด์การให้บริการลูกค้าที่จะเกิดขึ้นในปีนี้และอนาคต 5 ข้อ ได้แก่
นอกจากนั้น คุณชาญศักดิ์ได้เน้นย้ำความสำคัญของการสร้าง Customer Service ที่ดี ซึ่งจะนำมาสู่ประสบการณ์ที่ดีของลูกค้าและต่อยอดไปถึงความภักดีต่อแบรนด์ โดยจากผลสำรวจพบว่า
หลายธุรกิจให้ความสำคัญกับการสร้างช่องทาง (Channel) ที่หลากหลาย เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามคุณกุลชาติ เงินเพิ่มพูน Country Manager, IndoChina บริษัท Genesys กล่าวว่านอกจากช่องทางแล้ว หากธุรกิจต้องการสร้างประสบการณ์ของผู้บริโภคที่ดี สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ Touchpoint
Touchpoint หรือจุดที่ลูกค้าได้เจอกับสินค้าและบริการของธุรกิจจะมีผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าด้วย ซึ่งคุณกุลชาติกล่าวว่าเราสามารถแบ่ง Touchpoint ได้ออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
นอกจากเรื่องความสำคัญของ Touchpoint แล้ว คุณกุลชาติยังได้กล่าวถึงความสำคัญของการเลือกใช้ Channel เพื่อบริการลูกค้า โดยจากข้อมูลที่ Genesys สำรวจนั้น พบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ในปัจจุบันเริ่มใช้ช่องทางดิจิทัลในการรับบริการมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น Email, Messaging App หรือ Line
อย่างไรก็ตามช่องทางการรับบริการดั้งเดิมอย่าง Voice (โทรศัพท์) ถึงแม้ผู้ใช้บริการน้อยลงแต่ก็ไม่ได้หายไป เพราะฉะนั้นจึงเป็นช่องทางที่ยังคงมีความสำคัญ
“ถ้าเรากลับมาพูดเรื่องกลยุทธ์ของการใช้ช่องทางบริการลูกค้า เราอาจจะใช้ช่องทางดิจิทัลให้บริการในเรื่องทั่วไป เช่น การทำรายการ หรือ Self-Service แต่ช่องทาง Voice ก็ยังสำคัญ เพราะลูกค้าต้องการเราจริง ๆ” คุณกุลชาติกล่าว
จินตนาการถึงธุรกิจที่มีลูกค้าหลักแสนหรือหลักล้าน และลูกค้าติดต่อเข้ามาในช่องทางที่แตกต่างกัน พนักงานที่รับเรื่องคงจะปวดหัวไม่น้อย นอกจากนั้นทุกจุดที่ลูกค้าจะมีปฏิสัมพันธ์กับเรามักเกิดข้อมูลที่สำคัญขึ้น และหากธุรกิจไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านั้นจากทุกช่องทางได้ ทำให้ขาดวัตถุดิบสำคัญที่จะใช้ทำการตลาด พัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือบริการลูกค้า เพราะฉะนั้นการหาช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพนั้น จะทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายในการรับบริการ และทำให้ธุรกิจทำงานได้อย่างราบรื่น
คุณกุลชาติได้ยกตัวอย่างธุรกิจในปัจจุบัน ที่ต่างให้ความสำคัญกับการบริหารประสบการณ์ลูกค้ามากขึ้น และทุกธุรกิจต่างคาดหวังว่าจะได้ข้อมูลลูกค้า เพื่อมาทำ Personalized Marketing (การตลาดเฉพาะบุคคล) ต่อ เพราะฉะนั้น Contact Center จะยิ่งทวีความสำคัญขึ้น เพราะเป็นแพลตฟอร์มที่จะช่วยให้ธุรกิจเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าได้
นอกจากนั้น Contact Center ยังเป็นระบบที่ธุรกิจสามารถใช้ทำความเข้าใจลูกค้าได้ตั้งแต่ต้นจนถึงปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่การเก็บข้อมูล, วิเคราะห์, ปฏิบัติการ และเรียนรู้รูปแบบที่เกิดขึ้น เพื่อนำไปใช้เป็นโมเดลในครั้งต่อ ๆ ไป ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นการบูรณาการใช้งาน Contact Center ร่วมกับ Customer Relationship Management เพื่อให้เกิดรูปแบบการบริการลูกค้าที่ตรงใจ
มาถึงตรงนี้ทุกธุรกิจคงมองเห็นตรงกันว่าประสบการณ์ที่ผู้บริโภคจะได้รับมีความสำคัญต่อธุรกิจ และระบบการบริการลูกค้าก็เป็นฟันเฟืองสำคัญที่ขาดไปไม่ได้ อย่างไรก็ตามอาจมีข้อกังวลตามมาในเรื่องของการลงทุนสร้างระบบบริการลูกค้า ซึ่งคุณชาญศักดิ์แนะนำว่า ปัจจุบันแพลตฟอร์มจะอยู่ในรูปแบบ Platform-as-a-Service (PaaS) ทำงานอยู่บนระบบคลาวด์ ซึ่งทำให้ไม่ต้องลงทุนสร้างเซิฟเวอร์เหมือนในอดีต นอกจากนั้นยังสามารถเลือกใช้แพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจได้อย่างหลากหลาย ทั้งในแง่ของฟังก์ชันการใช้งาน และต้นทุนที่ต้องจ่าย
ด้านคุณกุลชาติได้กล่าวถึงต้นทุนของธุรกิจ ซึ่งนอกจากทรัพยากรเงินแล้ว ปัจจุบันเราต้องคำนึงถึงทรัพยากรเวลา และการใช้แพลตฟอร์มที่อยู่บนระบบคลาวด์ ไม่ว่าจะเป็นระบบ CRM หรือ Contact Center ก็สามารถเปิดใช้ได้ทันที ที่ไหนเวลาใดก็ได้ ซึ่งนอกจากประหยัดเวลาแล้ว ยังตอบโจทย์เทรนด์รูปแบบการทำงานแบบ Work From Anywhere ในปัจจุบันด้วย
นอกจากต้นทุนด้านเวลาแล้ว คุณกุลชาติยังได้กล่าวถึงอีกต้นทุนการเรียนรู้ขององค์กร ถ้าองค์กรเลือกใช้ซอฟต์แวร์ที่อยู่บนระบบคลาวด์ หากรู้สึกว่าไม่เหมาะก็สามารถยกเลิกบริการได้ทันที เท่ากับว่าองค์กรจะสามารถตัดความเสี่ยงเรื่องความคุ้มค่าของการลงทุนได้
ปัจจุบันเทคโนโลยี Artificial Intelligence หรือ AI ถูกใช้งานอยู่ในทุกอุตสาหกรรม เช่นเดียวกับในระบบบริการลูกค้าและระบบ CRM
สำหรับประสบการณ์ที่ผู้บริโภคจะได้รับจากการบริการโดย AI นั้น คุณชาญศักดิ์ได้ยกตัวอย่างการนำ AI มาใช้กับระบบ CRM ในกรณีที่ลูกค้าติดต่อเข้ามาในช่องทาง Chat ปัจจุบันธุรกิจก็ได้มีการใช้งาน AI Chatbot ที่สามารถให้บริการและแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้ทันที และหากปัญหาดังกล่าวมีความซับซ้อนและจำเป็นต้องใช้พนักงานมาช่วยแก้ไข AI Chatbot ก็จะทำหน้าที่วิเคราะห์และคัดกรองปัญหานั้นในเบื้องต้น
ยิ่งไปกว่านั้น AI ยังสามารถเลือกส่งปัญหาของลูกค้าให้กับพนักงานที่มีทักษะเหมาะสมกับปัญหานั้น ๆ ได้ด้วย ทำให้พนักงานทำงานได้เร็วขึ้น และผู้บริโภคก็จะได้รับประสบการณ์การบริการที่ดีอย่างไร้รอยต่อ
ทางด้านคุณกุลชาติได้ยกตัวอย่างการนำ AI มาใช้ทำ Mass Personalized Experience หรือการสร้างบริการที่ตรงใจให้ลูกค้าจำนวนมากในเวลาเดียวกัน โดยธุรกิจสามารถใช้ AI เพื่อวิเคราะห์แบบแผนพฤติกรรมลูกค้า และใช้เป็นแม่แบบในการส่งมอบบริการนี้ให้กับลูกค้าคนอื่น ๆ ที่มีพฤติกรรม ความสนใจ หรือข้อมูลที่ต้องการหาใกล้เคียงกัน
นอกจากนั้นคุณกุลชาติได้ยกกรณีการใช้งาน Conversational AI เข้ามาให้บริการ ลูกค้าสามารถรับบริการกับ AI ได้เลย โดยไม่ต้องผ่านเจ้าหน้าที่ นอกจากนั้น การทำงานของ Conversational AI ยังมีความเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวลูกค้า (Data Privacy) มากขึ้นด้วย เพราะเจ้าหน้าที่ทั่วไไม่มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว
การใช้ AI มาบริการลูกค้า แน่นอนว่าธุรกิจอาจมีข้อกังวลในเรื่องของประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับ ลูกค้าหลายคนก็อยากได้รับการบริการจากคนด้วยกันเอง สำหรับประเด็นนี้ คุณกุลชาติได้ยกตัวอย่างถึงแนวคิด Tech humanizes People หรือการทำให้เทคโนโลยีสามารถเข้าใจ ตีความ และตอบสนองลูกค้าได้อย่างเข้าอกเข้าใจมากขึ้น และสามารถนำเสนอบริการที่ลูกค้าต้องการจริง ๆ ได้ทันที เช่น การเก็บค่าธรรมเนียมรายปีของธนาคาร
“การเก็บค่าธรรมเนียมรายปีของธนาคาร ทำยังไงให้ทุกปีถ้าลูกค้าติดต่อมาแล้วระบบจะรู้เลยว่า คุณต้องการข้อมูลเรื่องนี้ใช่ไหม สามารถให้ข้อมูลได้ว่าลูกค้าจะต้องมียอดใช้จ่ายอีกเท่าไหร่ถึงจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม เป็นต้น การทำแบบนี้ลูกค้าจะรู้สึกว่าเรารู้จักเขา และเป็นการสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง”
เราเอาเทคโนโลยีที่มีแล้วในปัจจุบัน เราไม่เคย (นำข้อมูล) มาประกอบให้เป็นรูปเป็นร่าง แล้วนำมาแมตช์กับคนที่ต้องการ
สำหรับธุรกิจที่ต้องการนำ AI มาใช้ คุณชาญศักดิ์แนะนำว่า นอกจากการหาเทคโนโลยีมาใช้แล้ว ควรวิเคราะห์ข้อมูลที่บริษัทมีก่อน เพื่อนำข้อมูลไปใช้ให้เหมาะสม นอกจากนั้นยังมองว่าทุกคนในบริษัทที่จะต้องใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ก็ควรมีแนวทางและเป้าหมายในการใช้ข้อมูลที่เป็นภาพเดียวกัน เพื่อทำงานได้ง่ายขึ้น
ในฝั่งของคุณกุลชาติ ยกตัวอย่างปัญหาของ Bias ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ AI เพราะหาก AI รับข้อมูลที่เป็นชุดความคิดแบบเดียวกัน ก็อาจจะตอบสนองกับลูกค้าได้เพียงบางกลุ่มเท่านั้น เพราะฉะนั้นหากธุรกิจต้องการก้าวข้ามอุปสรรคนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการชัดเจนกับข้อมูลที่มี เช่น ลูกค้าเราเป็นใคร เราจัดประเภทลูกค้าไว้อย่างไร นอกจากนั้นคุณกุลชาติแนะนำว่าปัจจุบันเรามีแพลตฟอร์มข้อมูลที่เป็น Open Data ที่สามารถส่งต่อข้อมูลให้กันได้ ทำให้ AI ที่เราจะใช้มีข้อมูลที่หลากหลายมากขึ้น
คุณชาญศักดิ์มองว่า เทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันสำหรับฝั่งลูกค้านั้น คือความต้องการรับบริการที่เร็วขึ้น ตรงกับความต้องการมากขึ้น และสามารถแก้ปัญหาได้ เพราะฉะนั้นหากองค์กรมีแพลตฟอร์ม Contact Center ที่มีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริการลูกค้าเห็นข้อมูลชุดเดียวกัน และนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในช่วงสุดท้าย คุณกุลชาติเห็นว่า ปัจจุบันเรากำลังเข้าสู่ยุคที่ขับเคลื่อนด้วย Partner Network มากขึ้น ทำให้ธุรกิจมีทางเลือกในการใช้แพลตฟอร์มที่หลากหลาย สิ่งสำคัญของการเลือกระบบมาใช้จะต้องความสามารถในการรับส่งข้อมูล โดยไม่ไปกระทบกับ Personal Information นอกจากนั้น คุณกุลชาติยังกล่าวถึงอนาคตของบุคลากรที่จะทำงานใน Call Center ว่า อาจจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าจากที่ไหนก็ได้ ธุรกิจควรจะมองถึงการใช้ Multi-Device และ การ Work From Anywhere เป็นปัจจัยที่จะพิจารณาระบบที่จะนำมาใช้งานด้วย
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด