พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Personal Data Protection Act: PDPA) ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมโรงแรม
สาระสำคัญของ พ.ร.บ. นี้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ “การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล” ไม่ให้มีการนำข้อมูลที่ได้จากบุคคลต่างๆ ไปใช้อย่างผิดเงื่อนไขผิดวัตถุประสงค์และไม่เป็นไปตามที่ได้ตกลงกับเจ้าของข้อมูลไว้ในขั้นตอนของการขอความยินยอมในการจัดเก็บการประมวลผลและการใช้ข้อมูลนอกจากนี้ยังมีการระบุถึงความรับผิดชอบของ “ผู้ควบคุมข้อมูล” และ “ผู้ประมวลผลข้อมูล” ที่มีหน้าที่ต้องรักษาข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับไม่ให้ถูกบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นนำไปใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลพร้อมทั้งบทกำหนดอัตราโทษทางแพ่งและอาญาที่จะได้รับ
สำหรับธุรกิจโรงแรมในยุคที่มีคำกล่าวว่า “Data is the new Oil” ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบว่าในอนาคตใครมีข้อมูลมากกว่าถือเป็นการค้นพบขุมทรัพย์ทางธุรกิจรูปแบบใหม่ซึ่งเปรียบเทียบกับ “น้ำมัน” หนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญที่ใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจและด้วยเหตุนี้หลายๆ โรงแรมหลายๆ Brand ทั้งในระดับ Local และระดับ International พยายามที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลจากแขกผู้มาใช้บริการเพื่อนำไปเป็น “Big Data” ก่อนนำไปสู่ขั้นตอนของการทำ “Data Analysis” และพัฒนาออกมาเป็นบริการที่ตอบสนองต่อความต้องการของแขกผู้เข้าพักเราจะเห็นได้จากการที่หลายๆ Brands หลายๆ โรงแรมมีการออกระบบ “บัตรสมาชิก (Member Card)” หรือระบบ “Loyalty Program” ที่ให้แขกใช้การสะสมแต้มจากการเข้าพักซึ่งรายละเอียดแขกและธุรกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบัตรของแขกแต่ละคนคือ “ฐานข้อมูลส่วนบุคคล” ที่โรงแรมจะได้รับสอดคล้องกับแนวโน้มการบริหารองค์กรในอนาคตที่บางแห่งปรับเปลี่ยนรูปแบบการขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นแบบ “Data Driven Organization” เป็นการขับเคลื่อนองค์กรโดยใช้ข้อมูลเป็นตัวชี้นำซึ่งองค์กรในลักษณะนี้จะไม่ตัดสินใจในเรื่องๆ ใดหากปราศจากข้อมูลที่เชื่อถือได้มารองรับและแน่นอนเมื่อมีการจัดเก็บข้อมูลของแขกผู้เข้าพักจำนวนมหาศาลดังนั้นหลังจากที่ พ.ร.บ.ฯ นี้ประกาศใช้ธุรกิจโรงแรมต้องทำความเข้าใจและหาทางรับมืออย่างระมัดระวังมากขึ้นเพราะคำว่า “ข้อมูลส่วนบุคคล” ไม่ได้หมายความถึงข้อมูลของแขกผู้เข้าพักเพียงอย่างเดียวแต่ยังหมายถึงข้อมูลของพนักงานในโรงแรมอีกด้วยสำหรับขั้นตอนแรกต้องรับรู้ถึงผู้เกี่ยวข้องและรายละเอียดที่สำคัญใน พ.ร.บฯ นี้ก่อนซึ่งจากเนื้อหาใน พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สามารถสรุปได้คือ
สาเหตุที่ธุรกิจโรงแรมต้องหันมาให้ความสนใจกับ พ.ร.บ. ฉบับนี้ เป็นเพราะตัวของโรงแรมหากยึดตามนิยามของ พ.ร.บ.ฯ นี้จะอยู่ในฐานะ “ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล” และหากมีการใช้บริการบุคคลที่ 3 ในการประมวลผลข้อมูลเพื่อนำไปจัดทำกิจกรรมทางการตลาดหรือกิจกรรมอื่นๆ บุคคลที่3 นั้นจะอยู่ในฐานะ “ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล” ซึ่งมีหน้าที่ต้องดำเนินกิจกรรมต่างๆ ตามคำสั่งของ “ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล” และด้วยเหตุนี้ตัวกฏหมายกำหนดให้ต้องมีการดูแลรักษาความปลอดภัยของข้อมูลทำให้โรงแรมจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับระบบ Cyber Security ที่มีมาตรฐานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของแขกไม่ให้รั่วไหลและถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
ปกติแล้วโรงแรมจะมีการลงทุนในส่วนของการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบของ Private Server ซึ่งมีการสร้างห้อง Server ไว้ในโรงแรมเพื่อจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลต่างๆ ของแขกทั้งชื่อ นามสกุล สัญชาติ และพฤติกรรมการใช้จ่ายหลักๆ จะเป็นการจัดเก็บข้อมูลจากระบบ PMS (Property Management System) กับระบบ POS (Point of Sales) แต่เนื่องด้วยการลงทุนจัดทำ Private Server มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงซึ่งจะมีมูลค่าการลงทุนมาก-น้อยก็ขึ้นอยู่กับขนาดของโรงแรมจึงทำให้มีผู้ให้บริการรายอื่นจัดทำระบบ PMS, POS, ในระบบ Cloud ออกมาให้บริการเพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับโรงแรมด้วยเหตุนี้หลัง พ.ร.บ.ฯ นี้ประกาศใช้ทางโรงแรมจำเป็นที่จะต้องให้ความสนใจและศึกษารายละเอียดด้านมาตรการรักษาความปลอดภัยของผู้ให้บริการเหล่านั้นอย่างละเอียดในอนาคตเพราะหากเกิดการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลขึ้นมาย่อมทำให้โรงแรมไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้
สรุปหลักสำคัญของ พ.ร.บ. ต่อธุรกิจโรงแรม
ความผิดทางแพ่ง อ้างอิงตามมาตรา 77 กำหนดให้ต้องรับผิดชอบค่าสินไหมต่อความเสียหายให้กับเจ้าของข้อมูลแต่ยกเว้นในกรณีที่พิสูจน์ได้ว่า เกิดจากเหตุสุดวิสัย หรือ เกิดจากการกระทำของเจ้าของข้อมูลเอง หรือ เป็นการเปิดเผยข้อมูลโดยปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจตามกฎหมาย สำหรับกรณีคดีทางแพ่งนี้การเรียกร้องยจะมี อายุความ 3 ปี นับแต่วันที่ผู้เสียหาย (เจ้าของข้อมูล) รู้ถึงความเสียหายและรู้ตัวผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
ความผิดทางอาญา อ้างอิงตามมาตรา 78 ในกรณีที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลผู้ใดฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติและไม่ปฏิบัติตามมาตรใดใน พ.ร.บ. นี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ข้อยกเว้นใน พ.ร.บฯ โดยสรุปคือหากกรณีที่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยที่ไม่ต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบล่วงหน้าจะต้องเป็นการกระทำตามมาตราใดใน พ.ร.บ. ฉบับนี้ที่รองรับว่าอนุญาตให้ทำได้หรือเป็นการเปิดเผยตามอำนาจที่มีกฎหมายอื่นรองรับว่าสามารถเปิดเผยได้โดยไม่ต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบล่วงหน้าซึ่งโดยทั่วไปส่วนใหญ่ก็เป็นการเปิดเผยด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ระงับความเสียหายต่อชีวิตและเพื่อประโยชน์ของเจ้าของข้อมูลเองเป็นหลัก
ทั้งหมดนี้คือสรุปสาระสำคัญของ พ.ร.บ. ข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมโรงแรม (ตามกฎหมายคือ “ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล”) ซึ่งในอนาคตการจัดเก็บข้อมูลแขกผู้เข้าพักและรวมถึงข้อมูลของพนักงานด้วยก็ตามจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ความระมัดระวังในการจัดเก็บนอกจากนี้การเลือกผู้ให้บริการที่มีฐานะเป็น “ผู้ประมวบผลข้อมูลส่วนบุคคล” ตาม พ.ร.บ. ฉบับนี้ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ความระมัดระวังและตรวจสอบให้ดีว่าผู้ให้บริการไม่ว่าจะเป็นระบบ Cloud ของ PMS, POS, หรือแม้แต่ระบบการจัดเก็บข้อมูลพนักงานของ HR มีมาตรฐานด้านการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลที่เกี่ยวข้องของโรงแรมดีพอหรือไม่
อีกกรณีคือการที่จะนำข้อมูลต่างๆ ของแขกผู้เข้าพักไปจัดทำ Promotions ก็จำเป็นต้องแจ้งให้แขกทราบและยินยอมก่อนเสมอและสิ่งที่ต้องระมัดระวังที่สุดคือวิธีการได้มาของข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงแรมจะต้องได้มาจากการจัดเก็บเองในกรณีที่โรงแรมมีเชนบริหารซึ่งจะได้รับข้อมูลมาจากสำนักงานใหญ่ตรงนี้ทางสำนักงานใหญ่ก็จำเป็นที่จะต้องแจ้งให้แขกทราบถึงการที่ Head Office จะนำข้อมูลส่วนบุคคลของแขกไปใช้งานสำหรับโรงแรมสาขาอื่นๆ ในประเทศและต่างประเทศด้วย
สำหรับเนื้อหารายละเอียดฉบับเต็มของ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ปี พ.ศ.2562 สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ราชกิจานุเบกษาตาม Link นี้ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/A/069/T_0052.PDF
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด