อินเดีย ใช้ AI ยังไง เพื่อช่วยคนจนให้เข้าถึงสวัสดิการรัฐ ตัดปัญหาระบบราชการล่าช้าและทุจริต | Techsauce

อินเดีย ใช้ AI ยังไง เพื่อช่วยคนจนให้เข้าถึงสวัสดิการรัฐ ตัดปัญหาระบบราชการล่าช้าและทุจริต

ในละแวกเมือง Bangalore ที่แออัดไปด้วยผู้คน มีทั้งคนเก็บขยะ พ่อครัว แม่ครัว รวมถึงคนทําความสะอาดเข้าร่วมทดสอบ AI โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ประชากรบางส่วนที่ยากจนที่สุดในประเทศสามารถเข้าถึงเงินจากโครงการขจัดความยากจนของรัฐบาลทำให้หมดปัญหาเรื่องการทุจริตและความล่าช้าแบบระบบราชการที่ดำเนินการโดยรัฐบาลได้

ปัญหาสังคมในอินเดีย

การทุจริต

ในประเทศอินเดีย การทุจริตเป็นปัญหาที่มีการพูดถึงมากที่สุด ซึ่งมักเป็นบ่อนทําลายการพัฒนาของเศรษฐกิจและความยุติธรรมทางสังคม

ระบบการเมืองในอินเดีย มีการใช้เงินนอกระบบ (Black Money) ที่มาจากธุรกิจใต้ดินหรือการทุจริต ในการหาเสียงเลือกตั้ง นําไปสู่ระบบทุนนิยมพวกพ้อง (Crony Capitalism) โดยองค์กรโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International : TI) ระบุว่า อินเดียยังกระจายความมั่งคั่งไม่ทั่วถึง ซึ่งการทุจริตก็เป็นส่วนหนึ่งที่มาจากช่องว่างทางเศรษฐกิจในประเทศ

จากผลการสํารวจการทุจริตของอินเดียปี 2562  ร้อยละ 51 ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าจ่ายสินบน โดยสองรัฐที่มีจำนวนการจ่ายสินบนมากที่สุดเป็น รัฐราชสถาน (Rajasthan) ด้วยจำนวนร้อยละ 78 และรัฐพิหาร (Bihar) ร้อยละ 75  ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด

ในขณะเดียวกัน ประชากรจำนวนมากในอินเดียไม่รู้หนังสือและยากจน ทำให้ไม่สามารถเข้าใจขั้นตอนที่ซับซ้อนของระบบราชการหรือข้อมูลจากรัฐบาลได้ ซึ่งง่ายต่อการทุจริตโดยที่ประชาชนรู้ไม่เท่าทัน

ความล่าช้าของระบบราชการ

อินเดียมีระบบกฎหมายที่เป็นหนึ่งเดียว มีอํานาจอิสระ มีรัฐธรรมนูญศาลฎีกา (Supreme Court) เป็นศาลสูงสุดของประเทศ

ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าระบบตุลาการของอินเดียจะเป็นอิสระจากฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ก็ยังมีปัญหาหลักคือ ความล่าช้าในการดำเนินการ ส่งผลให้ศาลไม่สามารถดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมให้แก่พลเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากพอ

จากวิจัยในปี 2558 พบว่า มีตําแหน่งผู้พิพากษาว่างอยู่มากกว่า 400 ตําแหน่ง ในศาลสูง 24 แห่งของประเทศ ในขณะที่จํานวนคดีที่รอดําเนินการในศาลฎีกาเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้ คดีจํานวนมากที่รอดําเนินการในศาลฎีกาและศาลผู้ใต้บังคับบัญชาอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม การทดสอบ AI ในเมือง Bangalore และในเขต Mewat ทางตอนเหนือของอินเดียชี้ให้เห็นว่า AI ก็สามารถเป็นเครื่องมือที่ช่วยเหลือความเท่าเทียมทางสังคมได้เช่นเดียวกัน

เทคโนโลยีนั้นสามารถช่วยให้สื่อสารได้อย่างมืออาชีพ เพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ที่ไม่มีทักษะทางภาษาและช่วยเหลือผู้ทุพพลภาพ ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้แอพ BeMyEyes แอพที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวสําหรับผู้พิการทางสายตา

AI ช่วยประชากรยากจน

องค์การสหประชาชาติระบุว่า การกำจัดอุปสรรคด้านภาษาและด้านเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างยากจนโดยประมาณร้อยละ 16  กําลังเปิดกว้างต่อการพัฒนา AI อย่างเต็มที่ ต่างจากประเทศจีนที่ห้ามใช้ ChatGPT หรือสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรที่กําลังศึกษาวิธีการควบคุมการใช้ AI

รัฐมนตรีของอินเดียกล่าวว่า ประเทศตนยังไม่รีบร้อนที่จะนํากฎระเบียบควบคุม AI เข้ามาใช้ แต่อาจหาวิธีการใช้และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับความเท่าเทียมทางภาษา การศึกษา และวัฒนธรรมแทน

แชทบอท AI กำลังถูกผลิตขึ้นเป็นจำนวนมากในประเทศอินเดีย เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสให้ได้รับความยุติธรรมทางกฎหมาย  ให้คําแนะนําแก่เกษตรกร ช่วยแรงงานข้ามชาติ  และให้ประชาชนที่ไม่รู้หนังสือเข้าถึงข้อมูลและบริการของรัฐบาลได้ทันที

Rahul Matthan หุ้นส่วนที่เป็นหัวหน้าแนวปฏิบัติด้านเทคโนโลยีของสํานักงานกฎหมาย Trilegal และเป็นที่ปรึกษากระทรวงการคลังของอินเดียด้าน digital public infrastructure (DPI) กล่าวว่า "กว่าพันล้านชีวิตถูกเทคโนโลยีทิ้งไว้ข้างหลัง แต่ AI สามารถช่วยให้พวกเขาก้าวข้ามอุปสรรคการอ่านเขียนและความเข้าใจในเทคโนโลยีได้ การสั่งห้ามหรือออกกฎบังคับไม่ใช่วิธีสําหรับอินเดีย”

เมื่อต้นปี Satya Nadella ประธานกรรมการบริหารของไมโครซอฟท์ (Microsoft) และนักลงทุนรายใหญ่ของ OpenAI ได้หารือในที่ประชุมสภาเศรษฐกิจโลก (the World Economic Forum) เกี่ยวกับความแตกต่างที่เทคโนโลยีสามารถสร้างให้กับชีวิตของชาวบ้านที่อยู่ห่างไกลได้ 

“แบบจําลองพื้นฐานขนาดใหญ่พัฒนาชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกาเมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่จะไปถึงนักพัฒนาในอินเดีย” Nadella กล่าวว่า “ฉันไม่เคยเห็นการแพร่กระจายแบบนั้นมาก่อน พวกเรากําลังรอให้การปฏิวัติอุตสาหกรรมเข้าถึงพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกหลังจากผ่านไป 250 ปี”

ถึงกระนั้น การแพร่กระจายของเทคโนโลยีที่รวดเร็วปานสายฟ้าแลบก็เป็นสัญญาณเตือนภัยในหลายเรื่อง  การทดลองใน Bangalore เกิดขึ้นเช่นเดียวกับที่ Sam Altman ประธานกรรมการบริหารของ OpenAI เรียกร้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐฯ ควบคุมการใช้ AI ด้วยความกังวลเกี่ยวกับการควบคุมทางการเมือง ข้อมูลด้านสุขภาพที่ผิด และการโฆษณาที่กําหนดเป้าหมายมากเกินไป

Altman รวมถึงผู้นําคนอื่น ๆ ของบริษัท AI ได้ออกมาเตือนถึงอันตรายของเทคโนโลยี และความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของมนุษย์

AI ไม่รับสินบน

AI สามารถลดความเสี่ยงของการติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐ หรือการเล่นพรรคเล่นพวกทางการเมือง เนื่องจากหุ่นยนต์ไม่มีความต้องการแบบมนุษย์

การทดสอบที่ Bangalore นําโดย Saurabh Karn และทีมของเขาจาก OpenNyAI ที่ไม่แสวงหาผลกําไร ด้วยการป้อนชุดโครงสร้างประโยคคู่ขนานหลายล้านประโยคที่พูดในภาษาอินเดียหลากหลายภาษา ลงในซอฟต์แวร์เครื่องแปลภาษา (Machine translation) และเพิ่มบทสนทนาที่มีความยาวหลายพันชั่วโมงเพื่อสร้างระบบการรู้จําคำพูด (Speech recognition) 

โดยบอทที่ชื่อ Jugalbandi จะแปลภาษาออกมาในรูปแบบข้อความ แล้วจึงสังเคราะห์ให้เป็นเสียงพูด หรือที่เรียกกันว่า การแปลงข้อความเป็นคำพูด (Text to-speech)

ตัวอย่างเช่น เกษตรกรในชนบทสามารถตั้งคําถามในภาษา Haryanvi หรือภาษาที่พูดนอกกรุงเดลี และเครื่องมือจะแปลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อไปค้นหาข้อมูลจากฐานข้อมูล แล้วหาคําตอบที่ถูกต้อง จากนั้นแปลคําตอบกลับไปเป็นภาษา Haryanvi พร้อมสังเคราะห์ออกมาเป็นเสียงพูดมนุษย์ด้วยโมเดลการอ่านออกเสียงข้อความและส่งกลับไปยัง WhatsApp ของบริษัท Meta Platforms 

Jugalbandi ได้รับการฝึกให้กรองข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนบุคคลได้ก่อนที่จะแปลคําถามของผู้ใช้ เช่น หมายเลขบัตรประชาชนดิจิทัล หรือหมายเลขโทรศัพท์และตําแหน่งที่อยู่ อย่างไรก็ตาม Karn ยอมรับว่าปัญหาสังคมของอินเดียใหญ่เกินไปที่จะแก้ปัญหาด้วย AI เพียงอย่างเดียว

แต่สําหรับผู้หญิงที่เคยชินกับปัญหาจากระบบราชการและการทุจริตมองว่า มันคือการเริ่มต้น หนึ่งในกลุ่มแรงงานทำงานบ้านที่เข้าร่วมทดสอบ AI กล่าวว่า 

"หุ่นยนต์ไม่ทิ้งใบคำร้อง (application) ของพวกเราลงถังขยะเหมือนที่เจ้าหน้าที่รัฐทําเวลาไม่พอใจกับจำนวนสินบน" 

อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนเก็บขยะในย่าน Hebbal ได้สะท้อนให้เห็นความจริงในอีกด้าน พวกเขาใช้เวลาทั้งวันไปกับการกําจัดสิ่งสกปรกตามท้องถนนและรวบรวมขยะพลาสติก เศษโลหะ และกระดาษ หาเลี้ยงชีพด้วยการขายสิ่งที่เก็บได้ในแต่ละวันให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นผู้ดูแลการรีไซเคิล 

ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่มีสมาร์ทโฟนใช้ นั่นหมายความว่า ในขณะที่ AI สามารถเชื่อมช่องว่างระหว่างภาษาและการอ่านออกเขียนได้ แต่ก็ทําให้เกิดช่องว่างของผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้เช่นกัน

อ้างอิง : bloomberg , linkedin , iasexpress , thelegallock

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

สองวิธีเรียกคืนอำนาจบริหารจากบริษัทตัวเอง ถกประเด็นน่ารู้จากซีรีส์ Queen of tears

เจาะลึกประเด็นซีรีส์ Queen of tears การต่อสู้แย่งชิงอำนาจบริหาร Queens Group กำลังทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ในความเป็นจริงแล้ว ในความเป็นจริงแล้ว ตระกูลฮงจะกลับมายึดคืนอำนาจบริหาร ...

Responsive image

17 เรื่อง AI ต้องรู้ จากรายงาน AI Index 2024

Techsauce ได้สรุป 17 ประเด็นสำคัญจากรายงาน AI Index Report 2024 ซึ่งจัดทำโดย Stanford Institute for Human-Centered Artificial Intelligence (HAI) ที่รวบรวมประเด็นต่างๆ ของปัญญาประดิ...

Responsive image

แนะเทรนด์ลงทุนในสตาร์ทอัพปี 2024 พร้อมช่องทางใหม่ในการระดมทุนจากงาน KATALYST TALK MEETUP #3

บทความที่เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพควรอ่านเพื่อเป็นไกด์ไลน์ในการเผชิญความท้าทายในปีนี้ จากการรับฟังภายในงาน KATALYST TALK MEETUP #3 ‘Navigating the Startup Challenges in 2024 and Beyond’...