เราทำประกันก็เพื่อป้องกันความเสี่ยง เรายอมจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเรื่อยๆ ทุกๆ ปี เพื่อซื้อความมั่นใจว่าถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดจะมีคนคอยช่วยเราเรื่องค่าใช้จ่าย เรื่องการจัดการ เพราะเราต่างรู้กันว่าเมื่อเจออุบัติเหตุแต่ละครั้งน้ันเสียหายแค่ไหน ทั้งเสียเวลาที่ต้องมาเคลมรถ เสียเวลาที่ต้องป่วย เสียเวลารักษาตัว เสียเงินค่าอะไหล่ เสียเงินค่ารักษาตัว เสียเงินค่ายาค่าบริการ เราซื้อประกันก็เพื่อไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องเหล่านี้
บริษัทประกันเองก็ไม่ได้อยากให้คุณได้รับอุบัติเหตุ เพราะแน่นอนพวกเขาต้องรับผิดชอบค่าเสียหายให้กับคุณ พวกเขาจึงออกมาให้ความรู้และความเอาใจใส่ เพื่อให้เราดูแลตัวเองและป้องกันอุบัติเหตุต่างๆ เราอยู่ในยุค IoT หรือ Internet of Things ยุคที่อุปกรณ์ต่างๆ เชื่อมต่อกัน อุปกรณ์เก็บข้อมูลแล้วนำมาวิเคราะห์เพื่อให้เรานำมาพัฒนาชีวิตเรา บริษัทประกันเห็นโอกาสนี้ และเขาก็ไม่ได้อยากให้คุณได้รับอุบัติเหตุ เพราะแน่นอนพวกเขาต้องรับผิดชอบค่าเสียหายให้กับคุณ พวกเขาได้ใช้เทคโนโลยี IoT Hardware ต่างๆ เพื่อห้เราดูแลตัวเองและป้องกันอุบัติเหตุต่างๆ
บริษัทประกัน John Hancock ของประเทศแคนาดาได้ใช้ไอเดียป้องกันอุบัติเหตุเช่นกันแต่วิธีของเขาใช้เทคโนโลยีเพื่อให้เข้ากับวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัวและสนุกสนาน บริษัท John Hancock ได้ร่วมมือกับ Appleให้ผู้บริโภคซื้อ Apple Watch 2 ในราคา 25 เหรียญ (ราคาเต็มประมาณ 269 เหรียญ) โดยมีกติกาว่าผู้ร่วมสมัครจะต้องออกกำลังกายไม่ว่าจะเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ หรือขี่จักรยานตามเป้าหมายที่กำหนด ถ้าผู้สมัครสามารถออกกำลังได้ตามเป้าหมายที่กำหนด ก็ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายได้ก็ต้องจ่ายราคาส่วนต่างที่เหลือแทน
กิจกรรมของ John Hancock คือการที่บริษัทประกันออกมาป้องกันปัญหาสุขภาพก่อนที่ปัญหาจะเกิด ซึ่งนั่นก็คือการที่กระตุ้นให้คนออกมาขยับตัว ออกกำลังกาย และยิ่งไปกว่านั้นโดยการทำให้การออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน เพื่อสุขภาพที่ดี เพื่อที่เมื่อแก่ตัวจะมีอุบัติเหตุ หรือเรื่องที่ต้องเข้าโรงพยาบาลรักษาตัวน้อยลง
นอกจากบริษัทประกัน John Hancock แล้ว บริษัทประกันสุขภาพของสหรัฐอเมริกาที่ชื่อว่า VSP ก็ใช้อุปกรณ์ Internet of Things เหมือนกัน โดย VSP กำลังคิดค้น Smart Eye Wear หรือแว่นตาอัจฉริยะ ที่สามารถเก็บข้อมูลและแสดงผลผ่านเลนส์โดยที่มองจากด้านนอกไม่เห็น ข้อมูลที่แว่นตาจะเก็บคือข้อมูลการเคลื่อนไหวของร่างกาย นับก้าว ระยะการเดินทางต่อวัน แคลอรี่ที่ใช้ ท่าทางที่ขยับ อัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่ง VSP บอกว่าเพราะแว่นตาอยู่ตรงกลางของร่างกายจึงทำให้สามารถตรวจสอบท่าท่างของผู้ใช้ละเอียดกว่า ซึ่งสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์มากกว่าเช่นกัน เป้าหมายของการลงทุนประดิษฐ์แว่นตาอัจฉริยะคู่นี้มาก็เพื่อให้ลูกค้ามีสุขภาพที่ดีก่อนจะต้องเคลมประกันเช่นกัน
ในสหรัฐอเมริกา บริษัทประกันสุขภาพช่องปาก Beam ได้ออกความคุ้มครองพิเศษเพิ่มเติมเป็นความคุ้มครองที่แถมแปรงสีฟันและยาสีฟันให้กับลูกค้า ซึ่งตัวหัวแปรงนี้จะคอยเก็บสถิติสุขภาพช่องปากของลูกค้าและแสดงผลออกมาผ่านมือถือ เมื่อผู้ใช้ได้รับข้อมูลสุขภาพช่องปากของตัวเอง ก็สามารถเลือกความคุ้มครองที่ตรงใจและตรงกับสุขภาพช่องปากที่สุด แล้วยิ่งไปกว่านั้นบริษัทประกันสามารถเก็บข้อมูลช่องปากของผู้ใช้ทั้งประเทศ แล้วนำมาวิเคราะห์ว่าตอนนี้ผู้คนพบปัญหาช่องปากอย่างใด แล้วมีทางแก้ไขและวางแผนประกันอย่างไรได้อีกด้วย
ส่วนในประเทศไทยเราก็ไม่น้อยหน้า เทคโนโลยี Telematics ของ BKI ก็เป็นเทคโนโลยีที่ป้องกันปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนก่อนที่จะเกิดขึ้นเช่นกัน โดย Telematics จะเก็บสถิติการขับขี่ของคุณ ถ้าคุณขับรถดี คุณก็จะได้ส่วนลดเพิ่มในการต่อประกันครั้งต่อไป ซึ่งก็จะทำให้คุณมีความเคยชินในการขับรถดีๆ เช่น ไม่เบรกกระทันหัน ไม่ซิ่งเกินไป แล้วจะทำให้คุณประสบอุบัติเหตุในท้องถนนน้อยลงเช่นกัน
ปัจจุบันเรามี Gadget มากมายที่ทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น เราต้องดูว่าฝ่าย Marketing บริษัทต่างๆ จะนำ Gadget มาโปรโมทอย่างไร และผู้บริโภคอย่างเราเองจะเปิดใจให้กับ Gadget เท่าไหร่ ส่วนตัวเราเชื่อว่าเทคโนโลยีได้ทำให้ชีวิตเราสบายขึ้น แล้วก็จะยิ่งสบายขึ้นไปอีก
บทความนี้เป็น Guest Post จาก
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด