จุดเปลี่ยน Intel เมื่อ 'ยักษ์หลับ' ต้องจับมือคู่แข่ง เพื่อพลิกเกมสงครามชิป

สถานการณ์ล่าสุดในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กำลังทวีความน่าจับตามองขึ้นอีกระดับ เมื่อมีรายงานข่าวใหญ่ช่วงปลายเดือนกันยายน 2025 ว่า Intel ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan ได้เดินเกมเชิงรุกครั้งสำคัญ ด้วยการเปิดเจรจากับสองผู้เล่นทรงอิทธิพลที่สุดในวงการอย่าง TSMC และ Apple การเคลื่อนไหวนี้ ผนวกกับแรงหนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ได้สร้างแรงกระเพื่อมทันทีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ส่งผลให้หุ้น Intel ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

บทวิเคราะห์นี้จะพาย้อนสำรวจปัจจัยที่บีบคั้นให้ Intel ต้องพลิกเกม กลยุทธ์ใหญ่ที่กำลังเดิมพันอนาคตของบริษัท และทิศทางอุตสาหกรรมชิปในวันที่ ภูมิรัฐศาสตร์กลายเป็นตัวแปรสำคัญกว่าที่เคย

ทำไม Intel ถึงล้ม?

ตามที่ทราบกันดีว่า Intel เคยเป็นยักษ์ใหญ่ด้านชิปประมวลผล แต่พลาดโอกาสสำคัญหลายครั้งจนเสียส่วนแบ่งตลาดให้คู่แข่ง อย่าง TSMC, AMD, Nvidia และ Samsung สถานะความเป็นผู้นำของ Intel ถูกท้าทายอย่างหนักจากปัจจัยหลายด้านพร้อมกัน จนนำมาสู่วิกฤตการณ์ที่ต้องเร่งแก้ไขหลักๆ ได้แก่:

  • ความล่าช้าด้านเทคโนโลยีและการผลิต: จากจุดแข็งที่สุดของ Intel กลับกลายเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุด การสะดุดที่โหนดการผลิต 10nm และ 7nm ทำให้บริษัทตามหลังเทคโนโลยีของ TSMC อยู่หลายปี ซึ่งเปิดโอกาสให้คู่แข่งอย่าง AMD ที่ใช้บริการของ TSMC สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าในราคาที่แข่งขันได้

  • การสูญเสียตลาดหลักและการถูก Disrupt: นอกจากจะเสียส่วนแบ่งในตลาด CPU ให้กับ AMD แล้ว การที่ Apple เปลี่ยนไปใช้ชิป Apple Silicon ที่ออกแบบเอง (และผลิตโดย TSMC) ยังเป็นการตอกย้ำว่าสถาปัตยกรรม x86 ของ Intel ไม่ใช่คำตอบเดียวสำหรับคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงอีกต่อไป

  • การตกขบวนในสมรภูมิ AI: การเติบโตของ AI ถูกขับเคลื่อนด้วยชิป GPU ซึ่ง NVIDIA เป็นผู้นำตลาดอย่างเบ็ดเสร็จ และเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ TSMC ทำให้ Intel พลาดโอกาสในการเป็นผู้เล่นหลักในตลาดที่เติบโตเร็วที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการเงินที่รายได้พุ่งสูงสุดช่วงปี 2021 แล้วตกต่ำมาต่อเนื่อง หรือแม้แต่การบริหารและวัฒนธรรมขององค์กร โดยต้องสูญเสีย Talent ต้องเลิกจ้างและยกเลิกโรงงานไปหลายแห่ง

ย้อนดูแผนปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ‘IDM 2.0’ สู่การเดินหมากครั้งสำคัญ

เพื่อรับมือกับความท้าทายรอบด้าน Intel ได้เปิดตัวกลยุทธ์ IDM 2.0 เมื่อปี 2021 หนึ่งในแผนปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งการมาของ Lip-Bu Tan, CEO คนใหม่ก็ได้ยืนยันว่าจะเดินหน้าตามแผน IDM 2.0 ที่ริเริ่มโดย Pat Gelsinger แต่จะ “เร่งเครื่อง” กว่าเดิม โดยมีการนำกลยุทธ์นี้มาปรับใช้ในทางปฏิบัติ ได้แก่::

  • ยกระดับการผลิตภายใน: Intel กำลังทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อเร่งพัฒนาเทคโนโลยีชิปที่เล็กและล้ำสมัยที่สุดอย่าง โหนด 18A โดยตั้งเป้าที่จะกลับมาเป็นผู้นำด้านการผลิตให้ได้ภายในปี 2025 

  • เปิดรับการผลิตภายนอก: นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุด Intel ยอมรับความจริงว่าจะใช้บริการโรงงานผลิตของคู่แข่งอย่าง TSMC และ Samsung สำหรับผลิตภัณฑ์บางประเภท เช่น GPU และชิปบางส่วน เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้โดยไม่ต้องรอเทคโนโลยีของตนเอง

  • เปิดศึกชนเจ้าตลาด: Intel เปิดตัวธุรกิจ Intel Foundry Services (IFS) ซึ่งถือเป็นหัวใจของแผน IDM 2.0 เพื่อลงมาแข่งขันโดยตรงกับคู่แข่ง

ความเคลื่อนไหวล่าสุดเพื่อฟื้นตัว

  • ผู้นำใหม่: Lip-Bu Tan ก้าวขึ้นเป็น CEO ในเดือนมีนาคม 2025 ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ถึงความเชื่อมโยงกับจีน จนอดีตประธานาธิบดี Trump ออกมากดดันให้พิจารณาลาออก อย่างไรก็ตาม Intel สามารถพลิกสถานการณ์ได้ด้วยการบรรลุข้อตกลงเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2025 โดยเปิดทางให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าถือหุ้น 9.9% แลกกับเงินสนับสนุน 8.9 พันล้านดอลลาร์ ภายใต้ CHIPS Act เพื่อเสริมสร้างการผลิตชิปในประเทศ

  • เงินทุนไหลเข้า: Intel ยังเดินเกมเชิงรุกด้วยการเจรจากับ TSMC และทาบทาม Apple เพื่อสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์สำหรับธุรกิจ Foundry (IFS) ซึ่งหากสำเร็จ จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในตลาดโลก นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการลงทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์จาก NVIDIA และอีก 2 พันล้านดอลลาร์จาก SoftBank เพื่อหนุนความแข็งแกร่งด้านการเงินและเทคโนโลยี

CHIPS Act: เมื่อ Intel ไม่ได้สู้เพียงลำพัง

การเคลื่อนไหวของ Intel ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่ยังได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะจากรัฐบาลสหรัฐฯ ผ่านกฎหมาย ‘CHIPS and Science Act’

กฎหมายฉบับนี้อัดฉีดงบประมาณรวมกว่า 5.2 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อดึงดูดการลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐฯ โดย Intel คือผู้ได้รับผลประโยชน์รายใหญ่ที่สุด ซึ่งเป้าหมายของรัฐบาลสหรัฐฯ ชัดเจน คือเพื่อลดการพึ่งพาฐานการผลิตในเอเชีย (โดยเฉพาะไต้หวัน) และสร้างความมั่นคงให้กับซัพพลายเชนของประเทศ ทำให้ Intel เป็นความหวังสำคัญของชาติในสงครามเทคโนโลยี

ในเดือนสิงหาคม 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยกระดับการสนับสนุนไปอีกขั้น โดยเปลี่ยนแนวทางจากการให้ "เงินอุดหนุน" (grant) เป็น การเข้าลงทุนโดยตรง ด้วยการซื้อหุ้นสามัญของ Intel มูลค่า 8.9 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างยิ่งยวดที่จะผลักดันให้ Intel กลับมาเป็นผู้นำและสร้างเสถียรภาพให้กับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของอเมริกา

คาดการณ์อนาคต Intel และภูมิทัศน์อุตสาหกรรม

สำหรับ Intel: หนทางข้างหน้าในการกลับมาเป็นผู้นำอาจยังอีกยาวไกล การเจรจากับ Apple และ TSMC อาจไม่นำไปสู่ข้อตกลงที่จับต้องได้ในเร็ววัน แต่การส่งสัญญาณในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในการเรียกความเชื่อมั่นจากตลาดกลับคืนมา ความสำเร็จของบริษัทในระยะยาวขึ้นอยู่กับการ 'ลงมือทำ' (Execution) เป็นสำคัญ หากโหนดการผลิต 18A สามารถส่งมอบได้ตามเป้าและธุรกิจ IFS สามารถดึงดูดลูกค้ารายใหญ่ได้สำเร็จ ก็มีศักยภาพที่จะกลับมาได้

สำหรับอุตสาหกรรม: การกลับมาของ Intel ในฐานะผู้เล่นในตลาด Foundry อาจสร้างทางเลือกใหม่นอกเหนือจาก TSMC และ Samsung ซึ่งจะช่วยสร้างสมดุลและเพิ่มการแข่งขันในตลาด เป็นผลดีต่อบริษัท Fabless ทั่วโลก และยังเป็นการกระจายความเสี่ยงของ Supply chain โลกที่ปัจจุบันกระจุกตัวอยู่ที่ไต้หวันมากเกินไป

บทสรุป

Intel กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท หลังจากเผชิญความท้าทายรอบด้านไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางการเงิน, การปรับโครงสร้าง, และการสูญเสียบุคลากร ตอนนี้บริษัทกำลังเดิมพันครั้งใหญ่กับกลยุทธ์ IDM 2.0 เพื่อทวงคืนความเป็นผู้นำด้านการผลิตชิป ไปจนถึงการเดินหมากครั้งสำคัญอย่างการเจรจากับ TSMC และ Apple

อย่างไรก็ตาม หนทางข้างหน้ายังเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งการแข่งขันที่รุนแรง, การพิสูจน์ตัวเองในธุรกิจ Foundry ที่ต้องสร้างความน่าเชื่อถือ และความเสี่ยงด้านการลงมือทำ (Execution) ที่จะต้องนำเทคโนโลยีใหม่มาสู่การผลิตจริงให้ได้

แต่ในขณะเดียวกัน Intel ก็มีแต้มต่อที่สำคัญ นั่นคือการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากกฎหมาย CHIPS Act ของสหรัฐฯ ซึ่งมอบความได้เปรียบเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และศักยภาพของเทคโนโลยี 18A ที่เป็นไพ่ตายสำคัญ

สถานะของ Intel ในวันนี้จึงไม่ใช่ผู้นำที่ไร้เทียมทานเช่นในอดีต แต่ได้เปลี่ยนมาเป็น "ผู้ท้าชิงที่ทรงพลัง" ที่อนาคตทั้งหมดขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำตามแผนที่วางไว้ให้สำเร็จ

ที่มา: Forbes, Money.usnews.com, Reuters, Intel, The Wall Street Journal, eeNews Europe, CRN

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

สรุป 17 ดีลใหญ่ AI ที่เกิดขึ้นในปี 2025

สรุปครบ 17 ดีล AI ยักษ์ใหญ่ปี 2025 พร้อมเจาะลึกปม Circular Deals หรือการหมุนเงินลงทุนเป็นวงกลม สัญญาณเตือนฟองสบู่ที่นักลงทุนต้องระวัง...

Responsive image

ทิศทาง Agoda ในยุค AI-First จาก CEO เตรียมปักธงปั้นกรุงเทพฯ เป็น ‘Silicon Valley แห่งเอเชีย’ พร้อมส่องเทรนด์ท่องเที่ยวปี 2026

เจาะลึกวิสัยทัศน์ Agoda 2025 ปั้นกรุงเทพฯ สู่ Silicon Valley แห่งเอเชีย พร้อมเปิดตัวกลยุทธ์ AI-First และ Autonomous Agent ผู้ช่วยอัจฉริยะที่คิดแทนคุณได้ เผยข้อมูล Insight เที่ยวไทย...

Responsive image

KBank x Orbix Technology x StraitsX เปิดตัวโครงการ ‘Seamless Travel Payments on Chain’ โชว์นวัตกรรมภายใต้ BLOOM ที่งาน Singapore FinTech Festival 2025

ปิดฉากไปแล้วสำหรับงาน Singapore Fintech Festival (SFF) 2025 หนึ่งในเวทีฟินเทคที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งปีนี้ ธนาคารกสิกรไทย (KBank), Orbix Technology และ StraitsX ได้สร้างความน่าสนใจอ...