
สถานการณ์ล่าสุดในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กำลังทวีความน่าจับตามองขึ้นอีกระดับ เมื่อมีรายงานข่าวใหญ่ช่วงปลายเดือนกันยายน 2025 ว่า Intel ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan ได้เดินเกมเชิงรุกครั้งสำคัญ ด้วยการเปิดเจรจากับสองผู้เล่นทรงอิทธิพลที่สุดในวงการอย่าง TSMC และ Apple การเคลื่อนไหวนี้ ผนวกกับแรงหนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ได้สร้างแรงกระเพื่อมทันทีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ส่งผลให้หุ้น Intel ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
บทวิเคราะห์นี้จะพาย้อนสำรวจปัจจัยที่บีบคั้นให้ Intel ต้องพลิกเกม กลยุทธ์ใหญ่ที่กำลังเดิมพันอนาคตของบริษัท และทิศทางอุตสาหกรรมชิปในวันที่ ภูมิรัฐศาสตร์กลายเป็นตัวแปรสำคัญกว่าที่เคย
ตามที่ทราบกันดีว่า Intel เคยเป็นยักษ์ใหญ่ด้านชิปประมวลผล แต่พลาดโอกาสสำคัญหลายครั้งจนเสียส่วนแบ่งตลาดให้คู่แข่ง อย่าง TSMC, AMD, Nvidia และ Samsung สถานะความเป็นผู้นำของ Intel ถูกท้าทายอย่างหนักจากปัจจัยหลายด้านพร้อมกัน จนนำมาสู่วิกฤตการณ์ที่ต้องเร่งแก้ไขหลักๆ ได้แก่:
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการเงินที่รายได้พุ่งสูงสุดช่วงปี 2021 แล้วตกต่ำมาต่อเนื่อง หรือแม้แต่การบริหารและวัฒนธรรมขององค์กร โดยต้องสูญเสีย Talent ต้องเลิกจ้างและยกเลิกโรงงานไปหลายแห่ง
เพื่อรับมือกับความท้าทายรอบด้าน Intel ได้เปิดตัวกลยุทธ์ IDM 2.0 เมื่อปี 2021 หนึ่งในแผนปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งการมาของ Lip-Bu Tan, CEO คนใหม่ก็ได้ยืนยันว่าจะเดินหน้าตามแผน IDM 2.0 ที่ริเริ่มโดย Pat Gelsinger แต่จะ “เร่งเครื่อง” กว่าเดิม โดยมีการนำกลยุทธ์นี้มาปรับใช้ในทางปฏิบัติ ได้แก่::
การเคลื่อนไหวของ Intel ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่ยังได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะจากรัฐบาลสหรัฐฯ ผ่านกฎหมาย ‘CHIPS and Science Act’
กฎหมายฉบับนี้อัดฉีดงบประมาณรวมกว่า 5.2 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อดึงดูดการลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐฯ โดย Intel คือผู้ได้รับผลประโยชน์รายใหญ่ที่สุด ซึ่งเป้าหมายของรัฐบาลสหรัฐฯ ชัดเจน คือเพื่อลดการพึ่งพาฐานการผลิตในเอเชีย (โดยเฉพาะไต้หวัน) และสร้างความมั่นคงให้กับซัพพลายเชนของประเทศ ทำให้ Intel เป็นความหวังสำคัญของชาติในสงครามเทคโนโลยี
ในเดือนสิงหาคม 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยกระดับการสนับสนุนไปอีกขั้น โดยเปลี่ยนแนวทางจากการให้ "เงินอุดหนุน" (grant) เป็น การเข้าลงทุนโดยตรง ด้วยการซื้อหุ้นสามัญของ Intel มูลค่า 8.9 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างยิ่งยวดที่จะผลักดันให้ Intel กลับมาเป็นผู้นำและสร้างเสถียรภาพให้กับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของอเมริกา
สำหรับ Intel: หนทางข้างหน้าในการกลับมาเป็นผู้นำอาจยังอีกยาวไกล การเจรจากับ Apple และ TSMC อาจไม่นำไปสู่ข้อตกลงที่จับต้องได้ในเร็ววัน แต่การส่งสัญญาณในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในการเรียกความเชื่อมั่นจากตลาดกลับคืนมา ความสำเร็จของบริษัทในระยะยาวขึ้นอยู่กับการ 'ลงมือทำ' (Execution) เป็นสำคัญ หากโหนดการผลิต 18A สามารถส่งมอบได้ตามเป้าและธุรกิจ IFS สามารถดึงดูดลูกค้ารายใหญ่ได้สำเร็จ ก็มีศักยภาพที่จะกลับมาได้
สำหรับอุตสาหกรรม: การกลับมาของ Intel ในฐานะผู้เล่นในตลาด Foundry อาจสร้างทางเลือกใหม่นอกเหนือจาก TSMC และ Samsung ซึ่งจะช่วยสร้างสมดุลและเพิ่มการแข่งขันในตลาด เป็นผลดีต่อบริษัท Fabless ทั่วโลก และยังเป็นการกระจายความเสี่ยงของ Supply chain โลกที่ปัจจุบันกระจุกตัวอยู่ที่ไต้หวันมากเกินไป
Intel กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท หลังจากเผชิญความท้าทายรอบด้านไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางการเงิน, การปรับโครงสร้าง, และการสูญเสียบุคลากร ตอนนี้บริษัทกำลังเดิมพันครั้งใหญ่กับกลยุทธ์ IDM 2.0 เพื่อทวงคืนความเป็นผู้นำด้านการผลิตชิป ไปจนถึงการเดินหมากครั้งสำคัญอย่างการเจรจากับ TSMC และ Apple
อย่างไรก็ตาม หนทางข้างหน้ายังเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งการแข่งขันที่รุนแรง, การพิสูจน์ตัวเองในธุรกิจ Foundry ที่ต้องสร้างความน่าเชื่อถือ และความเสี่ยงด้านการลงมือทำ (Execution) ที่จะต้องนำเทคโนโลยีใหม่มาสู่การผลิตจริงให้ได้
แต่ในขณะเดียวกัน Intel ก็มีแต้มต่อที่สำคัญ นั่นคือการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากกฎหมาย CHIPS Act ของสหรัฐฯ ซึ่งมอบความได้เปรียบเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และศักยภาพของเทคโนโลยี 18A ที่เป็นไพ่ตายสำคัญ
สถานะของ Intel ในวันนี้จึงไม่ใช่ผู้นำที่ไร้เทียมทานเช่นในอดีต แต่ได้เปลี่ยนมาเป็น "ผู้ท้าชิงที่ทรงพลัง" ที่อนาคตทั้งหมดขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำตามแผนที่วางไว้ให้สำเร็จ
ที่มา: Forbes, Money.usnews.com, Reuters, Intel, The Wall Street Journal, eeNews Europe, CRN
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด