Intouch หาโอกาสใน EdTech เมื่อก้าวแรกของนวัตกรรมคือการศึกษา
เมื่อโลกได้เปลี่ยนโฉมไปอย่างสิ้นเชิงจากการระบาดของ COVID-19 เกิดบรรทัดฐานใหม่ในการใช้ชีวิตประจำวัน พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ต้องเปลี่ยนแปลงในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นระยะห่างทางสังคม การเดินทาง กิจกรรมสาธารณะ ธุรกิจ ฯลฯ รวมไปถึงภาคการศึกษาที่เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาประเทศและเศรษฐกิจในระยะยาว จึงต้องมีการเตรียมพร้อมสำหรับการเรียนที่ต้องเปลี่ยนรูปแบบและพัฒนาทักษะใหม่ๆ สำหรับโลกในยุคหลัง COVID-19
ภาพรวมของอัตรานักเรียนที่เข้าเรียนในสถานศึกษาของไทยมีจำนวดลดลงอย่างต่อเนื่อง ด้วยสาเหตุหลักจากอัตราการเกิดที่น้อยลง ดังที่สะท้อนในสภาวะสังคมผู้สูงอายุของไทยซึ่งคล้ายคลึงกับประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน รวมถึงปัญหาและปัจจัยอื่นๆ ในภาคการศึกษา ผนวกกับผลจากการระบาดของ COVID-19 โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่าจำนวนนักเรียน นิสิตและนักศึกษา ลดลงจาก 13.3 ล้านคน ในปี 2015 มาอยู่ที่ 12.7 ล้านคน ในปี 2019 ซึ่งอาจชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของรูปแบบการศึกษาแบบเดิมที่อาจเริ่มไม่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียน โดยผู้เรียนเริ่มหันไปสู่การศึกษานอกรั้วโรงเรียนในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านอินเทอร์เน็ตที่มีทางเลือกไม่จำกัด
วิกฤติ COVID-19 ทำให้ต้องมีการปิดเรียนยาวนาน ซึ่งงานวิจัยสะท้อนว่าการต้องปิดเรียนยาวนานหรือเปิดเรียนช้ากว่าปกติส่งผลทำให้การเรียนรู้ของผู้เรียนถดถอยลงเมื่อต้องอยู่บ้านเป็นเวลานาน ซึ่งส่งผลต่อไปถึงการถดถอยของเศรษฐกิจเป็นลูกโซ่
นอกจากนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยยังมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำของภาคการศึกษา โดยข้อจำกัดของทรัพยากรและภาวะเศรษฐกิจเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ซึ่งประเทศไทยมีเด็กนักเรียนยากจนกว่า 1.7 ล้านคน และจากการสำรวจของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พบว่าครอบครัวของเด็กบางคนมีรายได้เฉลี่ยไม่ถึง 3,000 บาทต่อเดือน รวมถึงข้อสรุปจากผลการสอบปิซ่า หรือโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) ที่เด็กนักเรียนไทยมีคะแนนวัดผลอยู่ในเกณฑ์ทรงตัวต่อเนื่องหลายปี ผู้วิจัยพบว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของไทยโดยส่วนใหญ่แล้วเป็นปัญหาที่มาจากปัจจัยที่สามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ เช่น การขยายขนาดของโรงเรียน การเพิ่มจำนวนครู และการให้ความรู้กับบิดามารดา มากกว่าปัจจัยที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่น ความฉลาดทางสติปัญญา
หลายปีก่อนหน้าการระบาดของ COVID-19 ผู้ทำการศึกษาด้านนี้ได้มีการพูดถึงการเรียนรู้แบบดิจิทัลที่เป็นวิธีการเรียนรู้แห่งอนาคตมาก่อนแล้ว แต่การระบาดครั้งนี้ได้ทำให้การเรียนรู้ดังกล่าวมาถึงอย่างรวดเร็วกว่าที่คาดไว้ การเรียนในห้องเรียนได้ย้ายมาสู่การเรียนแบบออนไลน์อย่างเช่น การถ่ายทอดสด (Live Streaming) หรือการเรียนจากคลิปวิดีโอที่คุณครูถ่ายทำไว้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นที่จะทำให้แนวโน้มในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการศึกษามีสูงขึ้นและได้รับความสนใจมากขึ้น โดยจะก่อให้เกิดรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ ตามมา
สตาร์ทอัพด้านการศึกษา (EdTech: Education Technology) จึงมีบทบาทในการนำเทคโนโลยีเข้ามาส่งเสริมการเรียนรู้และช่วยลดอุปสรรคในการเข้าถึงการศึกษาของคนไทย แพลตฟอร์มด้านการศึกษาหลายแพลตฟอร์มเริ่มเข้าถึงเด็กนักเรียนต่างจังหวัดมากขึ้น ตามอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งเครื่องมือการเรียนรู้ในรูปแบบต่างๆ เช่น เกม AR/VR ส่งผลให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนมากขึ้น และทำให้ครูผู้สอนเริ่มสามารถเปลี่ยนบทบาทไปเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียน (Facilitator) ซึ่งสามารถเอาใจใส่นักเรียนเป็นรายบุคคลได้มากขึ้น
ตามที่ได้กล่าวมาทำให้เห็นว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะสนับสนุนและลงทุนในนวัตกรรมที่ช่วยด้านการศึกษา โดยแนวโน้มเม็ดเงินที่สตาร์ทอัพ EdTech สามารถระดมทุนได้มีสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยขนาดตลาด EdTech ทั่วโลกมีมูลค่า 76.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2019 และคาดว่าจะเติบโตในอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) ที่ 18.1% จากปี 2020 ถึง 2027 โดยประเทศจีนมีตลาด EdTech ที่คึกคักที่สุดในโลก ซึ่ง 6 ใน 10 อันดับของ EdTech Unicorns ล้วนมาจากประเทศจีน รองลงมาเป็นของสหรัฐฯ 3 อันดับ และอีก 1 อันดับมาจากประเทศอินเดีย นอกจากนี้ ยังมีบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่จำนวนมากที่กำลังแข่งขันกันในตลาดนี้ เพื่อพัฒนานวัตกรรมด้านการศึกษาในทุกภูมิภาคของโลก
ตัวอย่างของ EdTech Unicorns ที่น่าสนใจและสามารถออกไปสู่ตลาดสากล
iTutorGroup จากประเทศจีน เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกด้านการศึกษาออนไลน์แพลตฟอร์มให้บริการสอนภาษาอังกฤษและภาษาจีนแบบสดทั้งในและนอกประเทศจีน นักเรียนสามารถเข้าถึงผู้สอนที่มีคุณภาพสูงได้ตลอด 24 ชม. ทุกที่ทุกเวลา โดย iTutorGroup มีความเชื่อว่าวิธีการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการเรียนรู้แบบส่วนบุคคล (Personalized Learning) และวิธีการที่ทำให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวเกิดจากการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่และใช้อัลกอริธึมจับคู่ขั้นสูงเพื่อให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์การเรียนรู้เฉพาะบุคคลที่เหมาะสม
นอกจากนี้ แม้ว่าจีนจะเป็นผู้นำโลกในด้าน EdTech อยู่แล้วก็ตาม แต่แนวโน้มของการเติบโตก็ยังคงมีต่อไป ด้วยปัจจัยที่น่าสนใจ ดังนี้
ด้านวัฒนธรรม จากการรายงานของ South China Morning Post ระบุว่าครอบครัวชาวจีนมีการให้คุณค่าและความสำคัญกับเรื่องการศึกษาเป็นอันดับต้นๆ ทั้งเด็กนักเรียนและผู้ปกครองต่างทุ่มเททรัพยากรให้กับการศึกษาอย่างเข้มข้น รวมถึงแนวคิดเรื่อง Work-Life Balance ของนักเรียนชาวจีนที่มีความแตกต่างจากประเทศอื่นๆ มาก อย่างเช่น ครอบครัวที่มีเด็กอนุบาลจะมีการใช้เงินโดยเฉลี่ย 26% ของรายได้ไปกับด้านการศึกษา ส่วนครอบครัวที่มีเด็กนักเรียนระดับอนุบาลถึงมัธยมปลาย (K-12) มีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา 20% ของรายได้
จำนวนประชากร ประมาณ 20% ของประชากรโลกอาศัยอยู่ในประเทศจีน นอกจากนี้ นโยบายมีลูกคนเดียวของจีนได้ยุติลงแล้ว ซึ่งทำให้จำนวนนักเรียนจะเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
การสนับสนุนจากภาครัฐฯ รัฐบาลจีนได้เพิ่มเปอร์เซ็นต์ของ GDP ใช้จ่ายไปให้กับการศึกษาตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา และยังมีการสนับสนุนโครงการมากมาย เช่น MOOC Times Building ซึ่งเป็นตึกสูง 22 ชั้นที่เต็มไปด้วยสตาร์ทอัพด้าน EdTech และในปี 2017 นายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียง ได้ประกาศการกำหนดและดำเนินการตามแผนเพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการปรับปรุงการศึกษาของจีน
ปัจจัยดังกล่าวทำให้เห็นแนวทางการพัฒนาด้านการศึกษาของจีนที่เอื้อต่อเหล่าสตาร์ทอัพ EdTech เป็นอย่างมาก ซึ่งสามารถเป็นตัวอย่างเพื่อนำมาปรับใช้ให้เข้ากับประเทศไทยได้ไม่มากก็น้อย
ความท้าทายด้านการศึกษามิได้มีเพียงเฉพาะในห้องเรียน แต่รวมไปถึงคนวัยทำงานที่เผชิญกับรอยต่อของ Generation ที่เปลี่ยนไป องค์กรขนาดใหญ่ในประเทศไทยตื่นตัวและให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะของพนักงานมากขึ้น คลื่นแห่งเทคโนโลยีทำให้คนที่ “ตามไม่ทัน” มีความเสี่ยงสูงกับการต้องออกจากงาน เนื่องจากองค์กรต้องบริหารต้นทุนและประสิทธิผลของเม็ดเงินที่ลงทุน แพลตฟอร์มการศึกษาที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าองค์กรจึงได้รับการตอบรับที่ดีในช่วงที่ผ่านมา การรับรองด้วยประกาศนียบัตรออนไลน์ (Online Certification) เริ่มกลายเป็นตัวชี้วัดทางอ้อมถึงทักษะนอกเวลางานที่พนักงานได้ใช้เพื่อพัฒนาตัวเอง เกิดเป็นรูปแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong-Learning) เพื่อศึกษาทักษะใหม่ๆ ในงานเดิม (Upskilling) หรือยกเครื่องใหม่ทั้งหมดเมื่อเจอโจทย์ที่ไม่เคยทำมาก่อน (Reskilling)
อย่างไรก็ดี จากผลสำรวจจาก TalentLMS ที่สัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างผู้บริหารและพนักงานกว่า 700 คนในสหรัฐอเมริกา พบว่าสาเหตุที่การพัฒนาทักษะใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ยาก กว่าครึ่งยังคงเป็นเพราะพนักงานไม่มีเวลา ยังไม่สามารถหาแหล่งเรียนรู้ที่ตรงความต้องการได้ และค่าใช้จ่ายสูงเกินไป ซึ่งยังคงเปิดโอกาสให้กับสตาร์ทอัพ EdTech ในการนำเสนอทางออกที่ดีกว่าได้
บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรืออินทัช เผยกลยุทธ์การลงทุนใน 5 ปีข้างหน้า โดยมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจร่วมทุน (Venture Capital) และการสร้างธุรกิจใหม่ (New Business) กับสตาร์ทอัพที่มีเทคโนโลยีในด้านการศึกษา (EdTech) เทคโนโลยีด้านสุขภาพ (HealthTech) และเทคโนโลยีด้านการเงิน (FinTech) รวมทั้ง Emerging Technology อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ 5G นอกจากนั้น อินทัชได้ประกาศโครงการ Venture Builder และการลงทุนผ่าน Venture Capital Fund เพื่อหาสินค้าและบริการมาต่อยอดให้กับธุรกิจของกลุ่มอินทัชที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
อินทัชมีเป้าหมายด้านการลงทุนและสร้างธุรกิจใหม่ รวมทั้งยังคงเปิดกว้างในการร่วมเป็นพันธมิตรกับสตาร์ทอัพหรือบริษัทที่มีแนวคิดในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในตลาดการศึกษาของประเทศไทย โดยล่าสุดได้มีการลงทุนในบริษัท โคนิเคิล จำกัด (Conicle) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการเรียนรู้สำหรับบุคลากรในองค์กร เพื่อยกระดับการศึกษาไทยให้เข้าสู่การเรียนการสอนแบบดิจิทัลอย่างแท้จริง
อ้างอิง:
Kaimai_Medium
Ricardo Geromel_Forbes
www.col.org
www.eef.or.th
www.eduwh.moe.go.th
www.brookings.edu/research
www.pier.or.th
www.grandviewresearch.com
www.educationandcareernews.com
www.talentlms.com
itutorgroup
เขียนร่วมโดย คุณศิรภพ ปภัทธนนันท์ Investment Manager โครงการอินเว้นท์ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)
LinkedIn: https://www.linkedin.com/in/siraphop-paphatthananan-62ab42122/
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด