บทวิเคราะห์การเข้ามาบุกตลาดไทยของ JD.com ที่ประกาศยกระดับวงการค้าปลีก | Techsauce

บทวิเคราะห์การเข้ามาบุกตลาดไทยของ JD.com ที่ประกาศยกระดับวงการค้าปลีก

วงการค้าปลีกอาจสะเทือนไม่น้อย เมื่อ E-Commerce รายใหญ่จากจีนอย่าง JD.com ประกาศจับมือ (Joint Venture) กับ Central Groups ด้วยดีล 500 ล้านดอลลาร์หรือราว 1.65 หมื่นล้านบาท เพื่อบุกตลาดไทยรวมถึง FinTech

"ตอนนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการค้าปลีก สิ่งสำคัญคือโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่จะเอามาใช้ นั้นก็คือการนำเอาเทคโลยีล้ำหน้าเหล่านี้มาเป็นพื้นฐานด้านการค้าปลีก"

คุณเฉิน จาง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี ของ JD.com เล่าถึงการเข้ามาของ JD.com เพื่อมายกระดับการค้าปลีกของไทย โดยชี้ให้เห็นว่าเรากำลังอยู่ในยุคที่ 4 ของการปฏิวัติอุตสาหกรรมค้าปลีก ซึ่งก็คือ E-Commerce นั่นเอง โดย 3 ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จคือการลดต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างประการณ์ของลูกค้า ซึ่งการนำเทคโนโลยีมาใช้คือการตอบโจทย์

การปฏิวัติอุตสาหกรรมค้าปลีก ครั้งที่ 4

อุตสาหกรรมการค้าปลีกมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จากรูปแบบ ห้างสรรพสินค้า (department store) ร้านค้าปลีกเครือข่าย (chain store) ไปสู่ซูเปอร์มาร์เก็ต (supermarket) และเข้ามาสู่ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมค้าปลีกครั้งที่ ซึ่งมีเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพของในแต่ละกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นด้านการจัดการข้อมูล การจัดการสินค้าและการบริหารเงินทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ธุรกิจค้าปลีกในบริบทที่เปลี่ยนไป

ในทุกยุคทุกสมัย ปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงในการบริหารจัดการธุรกิจค้าปลีกก็คือ ปัจจัยด้านการบริหารต้นทุน (cost) ประสิทธิภาพ (efficiency)และประสบการณ์ของผู้บริโภค (experience) แต่ในบริบทธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน ผู้บริโภคมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยต้องการตัวเลือกสินค้าและช่องทางในการเลือกซื้อที่หลากหลายขึ้น (pluralistic) ต้องการหาประสบการณ์เฉพาะตัว (personalized) และต้องการเข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจมากขึ้น (participative)

จากเดิมที่ผู้บริโภคต้องไปสถานที่เพียงที่เดียวเพื่อเลือกซื้อสินค้า ในปัจจุบันเทคโนโลยีทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าผ่านอุปกรณ์หลากหลาย และเลือกซื้อสินค้าได้ไม่จำกัด นอกจากนี้ เทคโนโลยียังมีบทบาทในการเปลี่ยนรูปแบบของตลาดที่จากเดิมประกอบไปด้วยสินค้าที่มีลักษณะเหมือนๆ กัน (mass market) กลายเป็นตลาดที่ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าที่มีความเฉพาะตัวและตรงกับความต้องการส่วนบุคคลยิ่งขึ้น (individual)

อนาคตของโครงสร้างพื้นฐานในธุรกิจค้าปลีก

ธุรกิจค้าปลีกในอนาคตจะมีคุณสมบัติ 3 อย่าง ได้แก่

  1. ขยายขนาดตอบรับการเติบโตได้ (scalable)
  2. มีความชาญฉลาด (smart) เช่น การใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติในการบริหารจัดการคลังสินค้า การขนส่งสินค้าด้วยยานพาหนะไร้คนขับ และการใช้งานโดรน
  3. องค์ประกอบต่างๆ ทำงานสอดคล้องกัน (synergistic)

เทคโนโลยีที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน

เทคโนโลยีสำคัญที่เป็นโครงสร้างในการเพิ่มศักยภาพให้แก่ผู้ค้าปลีกได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อุปกรณ์อัจฉริยะ (smart device) โลกเสมือนผสานโลกจริง (AR) และโลกเสมือนจริง (VR) และบิ๊กดาต้า (Big Data) เพื่อทำให้ซัพพลายเชนและบริการด้านโลจิสติกส์มีความชาญฉลาดและทำงานสอดคล้องกันยิ่งขึ้น

JD.com ได้พัฒนาเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้า โดยสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดต้นทุนในการผลิตและการขนส่ง ตลอดจนทำให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ในการเลือกซื้อสินค้าที่ดีที่สุดได้อีกด้วย เช่น การใช้หุ่นยนต์ในการจัดการสินค้า ที่สามารถเพิ่มความจุและประสิทธิภาพในการจัดเก็บ การใช้ โดรนขนส่งหรือพาหนะไร้คนขับมาช่วยในการส่งสินค้า ซึ่งที่จีนเริ่มใช้แล้วในมหาวิทยาลัย รวมทั้งการใช้ AI วิเคราะห์ Big Data ในการกำหนดราคาสินค้า และจับคู่ผู้ซื้อและผู้ขาย

ทั้งนี้เมื่อถามว่าโครงสร้างพื้นฐานของไทยพร้อมหรือยังกับสิ่งที่คุณฉางเล่ามา คุณฉางตอบว่า "pretty good" โดยกล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งสำคัญคือการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคสู่ออนไลน์ โดยปัจจัยที่จะทำให้ผู้บริโภคใช้บริการคือการได้รับสินค้าคุณภาพที่มีราคาต่ำกว่าทั่วไป ได้รับการจัดส่งสินค้าที่ดี ซึ่งเมื่อได้รับประสบการณ์ที่ดีผู้บริโภคก็จะหันมาใช้บริการ

คุณฉางทิ้งท้ายว่า JD.com ต้องการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี E-Commerce ในระดับโลก โดยเป้าหมายในอีกไม่นานนี้คือการเป็น Retail as a Service (RaaS) โดยจะสมบูรณ์เมื่อมีการใช้ระบบพาหนะไร้คนขับและการใช้โดรนอย่างเปิดกว้าง

Timeline ของ JD.COM

JD.com เป็นทั้งบริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีนและเป็นผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดของจีนจากรายได้ โดยมีมูลค่าการขายสินค้ารวมอยู่ที่ 939.2 พันล้านหยวนในปี 2559 และมีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 152% มีบริการผ่านทางเว็บไซต์, แอพพลิเคชั่นมือถือ, WeChat, Mobile QQ และ Baidu

1998: เปิดร้านค้า (brick-and-mortar) ในกรุงปักกิ่ง 2004: หลังจากมีการระบาดของโรคซาร์ส ได้เปิดตัวธุรกิจออนไลน์ 2014:  เสนอขายหลักทรัพย์ (IPO) ที่ Nasdaq โดยเป็นการทำ IPO ที่ใหญ่ที่สุดของปี 2016: ได้รับการจัดอันอยู่ในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก 500 บริษัทโดยนิตยสารฟอร์จูน (Fortune Global 500) โดยถือเป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตรายแรกและอันดับสูงที่สุดของประเทศจีน ปัจจุบัน: ครองตำแหน่งบริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และเป็นบริษัทอี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ที่สุดและบริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 8 ในสหรัฐอเมริกา

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

เจาะเบื้องหลังดีล Zipevent และ Link Station Group สู่การขยายธุรกิจอีเวนต์ในภูมิภาค SEA

การเข้าซื้อกิจการระหว่าง Zipevent แพลตฟอร์มจัดการอีเวนต์และจำหน่ายบัตรออนไลน์ในประเทศไทย กับ Link Station Group บริษัทญี่ปุ่นผู้เชี่ยวชาญด้านระบบจำหน่ายบัตร (Ticketing System) ถือเ...

Responsive image

KBank x Orbix Technology x StraitsX สาธิตการชำระเงินข้ามพรมแดนด้วยบล็อกเชนที่ SG FinTech Festival 2024

ธนาคารกสิกรไทยร่วมกับ Orbix Technology และ StraitsX เปิดตัวนวัตกรรมชำระเงินข้ามพรมแดนด้วย e-Money on Blockchain ในงาน Singapore FinTech Festival 2024 ชูศักยภาพฟินเทคไทยบนเวทีโลก...

Responsive image

‘Yindee’ แชตบอตในแอป ttb Touch ใช้ Gen AI จับความรู้สึก ตอบเร็วและฉลาดกว่าที่เคย

Yindee แชตบอตที่อยู่บน Mobile Banking ของ ttb ทำงานผ่านแอป ttb Touch สามารถจับ Mood & Tone ของลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ ว่าขณะแชตนั้น ลูกค้าอยู่ในอารมณ์ไหน ด้วย Generative AI โดย Azur...