“ขณะที่ AI กำลังเปลี่ยนแปลงโลก สิ่งหนึ่งที่มันทำไม่ได้ คือการมีความรู้สึกรัก”
Kai-Fu Lee ผู้เขียนหนังสือ “AI Superpowers : China, Silicon Valley and the New World Order” ขึ้นพูดบนเวที TED 2018 ถึงการปฎิวัติด้าน Deep Learning ในจีนและอเมริกา ท่ามกลางกระแส AI ที่กำลังมาทดแทน และแย่งงานมนุษย์ภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เขาแชร์แนวทางการทำงานร่วมกับ AI พร้อมชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ ที่หากอาศัยความรู้สึกรักและเมตตา อย่างไรมนุษย์ก็จะไม่ถูกแทนที่
ปัจจุบันประเทศจีนและสหรัฐอเมริกาถือเป็นมหาอำนาจที่เต็มไปด้วยบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่กำลังขับเคลื่อนโลกด้วยการศึกษาและพัฒนา Deep Learning และ AI โดยเฉพาะประเทศจีนที่โดดเด่นเรื่องการนำเอาเทคโนโลยีไปใช้จริง, การพัฒนาคุณภาพ product ด้วยความรวดเร็ว และ ข้อมูล Data มหาศาลจากผู้บริโภค
ตลาดประเทศจีนพัฒนาถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นสังคมไร้เงินสดได้เต็มปาก และไม่ใช่แค่ไร้เงินสดเท่านั้น แต่ยังไร้บัตรเครดิตด้วย เพราะ Mobile Payment คือสิ่งที่เข้าถึงคนกว่า 700 ล้านคนในประเทศจีน
ในปี 2017 จีนมีการทำธุรกรรมผ่าน Mobile Payment สูงถึง 18.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขที่โตกว่า GDP ประเทศเสียอีก (GDP 12.9 ล้านล้านดอลลาร์) ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดการทำธุรกรรมสูงขนาดนี้เป็นเพราะ Mobile payment ส่วนใหญ่ฟรีค่าธรรมเนียมและถูกใช้ในทุกๆ ช่องทาง ตั้งแต่ ตลาดค้าส่ง ค้าปลีก บนออนไลน์ ออฟไลน์ ใน Supermarket หรือแม้แต่ซื้อของในตลาดสด รวมถึงการจ่ายเงินกันเองแบบ Peer-to-peer ด้วย
ข้อมูล data จากการใช้ Mobile Payment ของลูกค้าจำนวนมหาศาล ส่งผลต่อการพัฒนา AI เป็นอย่างมาก เราจึงได้เห็นบริษัทชั้นนำด้าน Computer Vision, Speech Recognition, Machine Translation และโดรน ล้วนเป็นบริษัทสัญชาติจีนทั้งสิ้น
Kai-Fu Lee กล่าวว่า ปัจจุบันเรากำลังอยู่ในยุคที่น่าตื่นเต้น เมื่อผู้นำเทรนด์ยุคคิดค้น AI อย่างอเมริกา และ ผู้นำในยุคปัจจุบันอย่างจีน กำลังรวมพลังขับเคลื่อนวงการแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ข้อมูลจาก Pwc วิเคราะห์เอาไว้ว่า GDP โลก จะเพิ่มขึ้นอีกกว่า 16 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030 ซึ่งจะนำมาสู่ความท้าทายเรื่อง อาชีพที่อาจถูกทดแทนด้วย AI
ตั้งแต่ช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา มีงานและอาชีพที่ต้องการแรงงานและช่างฝีมือเกิดขึ้นมากมาย และคนส่วนใหญ่ก็ให้ค่ากับการทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่การเข้ามาของ AI คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ เมื่อหลายๆ งานที่เราเห็นทุกวันนี้จะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ภายในอีก 10 ปี ไม่ใช่แค่งานในโรงงานเท่านั้น แต่รวมถึงงานประเภทที่ต้องทำซ้ำๆ หรืองานที่เป็น Routine เช่น พนักงานขายทางโทรศัพท์, Customer Service, พนักงานขับรถ, พนักงานรักษาความปลอดภัย, นักโลหิตวิทยา และภายในอีก 15 ปี งานที่ต้องอาศัยทักษะการ Optimize ก็จะถูกทดแทนไปด้วย เช่น งานผู้สื่อข่าว หรือ นักวิเคราะห์วิจัย
แล้วอาชีพไหนล่ะที่จะรอดจากการถูกทดแทน?
Kai-Fu กล่าวว่า อาชีพที่จะอยู่รอดโดยไม่ถูกแย่งงานคือ อาชีพที่มีความ Complex อย่างผู้บริหาร หรือ นักเศรษฐศาสตร์ และ อาชีพที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) อย่างอาชีพ นักเขียน, นักวิทยาศาสตร์ และ ศิลปิน เพราะ AI สามารถพัฒนาความสามารถได้ แต่ไม่สามารถสร้างสรรค์งานขึ้นมาได้เอง
เขายังเล่าอีกว่า เมื่อครั้งที่ AlphaGo เอาชนะ Ke Jie แชมป์โกะได้ AlphaGo ไม่ได้รู้สึกมีความสุขเมื่อชนะเกม ขณะที่ Ke Jie ต้องร้องไห้เสียใจจากการพ่ายแพ้
"สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากหุ่นยนต์ ก็คืออารมณ์ความรู้สึก ความรัก และความมีเมตตา"
หากอาชีพใดที่ต้องอาศัยความรู้สึกเหล่านี้ จะไม่ถูกทดแทนด้วย AI ตรงกันข้าม AI จะมาช่วยเสริมให้อาชีพเหล่านี้ดำเนินไปได้อย่างมีศักยภาพมากขึ้น
ดังนั้นหลังจากที่ AI ทดแทนอาชีพที่เป็น Routine ไปแล้ว เราจึงควรสร้างงานที่มี Compassion หรือความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น เช่น งานเพื่อสังคม, คุณครูประจำบ้าน, ครูสอนพิเศษจากทางไกล, ผู้ดูแลผู้สูงอายุ, Wedding Planner หรืองานประเภทที่ต้องใช้ใจสื่อสารกับคน
การเข้ามาของ AI จะเปลี่ยนความหมายของการทำงานไปอย่างสิ้นเชิง การทำงานจะไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับชีวิตมนุษย์อีกต่อไป
“ AI เป็นความบังเอิญที่แสนโชคดี มันเข้ามาเพื่อปลดปล่อยเราออกจากงาน Routine จำเจ และมาเพื่อย้ำเตือนว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ เราสามารถเลือกที่จะเปิดรับ AI และ ให้ความรักต่อเพื่อนมนุษย์มากขึ้น ” Kai-Fu ได้กล่าวสรุปปิดท้าย session ของเขา
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถฟัง Session เต็มๆ ได้ใน VDO ด้านล่าง
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด