ในปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่าธนาคารกสิกรไทยมีความเคลื่อนไหวที่สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการธนาคารและ FinTech ในประเทศไทยเป็นอย่างมาก และในปีนี้กสิกรไทยได้นำทีมผู้บริหารระดับสูง 5 ท่าน ร่วมเผยวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ A Year of i ที่จะเกิดขึ้น พร้อมประกาศพันธกิจสู่ธุรกิจแบงก์ยุคใหม่ที่ต้องแกร่งทั้งในประเทศ และขยายสู่ต่างประเทศ โดยมุ่งให้ รายได้ 50% เกิดจากการใช้งาน Data พร้อมผลักดันธุรกิจในตลาด CCLMVI คาดรายได้ธุรกิจในต่างประเทศโตกว่า 8 เท่า ใน 3 ปีข้างหน้า
กลยุทธ์ A Year of i ขับเคลื่อนด้วยทีมผู้บริหารระดับสูง 5 ท่านแห่งกสิกรไทย ซึ่งประกอบไปด้วย iGNITE , iNCORPORATE , iNSIGHT , iNTEGRATE , iNNOVATION
คุณพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เผยถึงอุปสรรคทางการค้าในปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องของภาษา แต่คือหงส์ดำหรือความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นมาในโลกธุรกิจ ทั้งในเชิงลึกและเชิงกว้าง ไม่สามารถคาดการณ์ได้ เช่น เหตุการณ์ต้มยำกุ้ง หรือเหตุการณ์ 911 และปัจจุบันคือสงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ ซึ่งธนาคารกสิกรไทยไม่ได้มองแค่ตลาดในประเทศอีกต่อไป แต่มุ่งตั้งเป้ารายได้ธุรกิจในต่างประเทศ
“ปัจจุบันเราได้มองข้าม ความเป็นธนาคารไปแล้ว และมองไปมากกว่าตลาดเมืองไทย ซึ่งเรายังสามารถสร้างนวัตกรรมให้เกิดขึ้นกับตลาดต่างประเทศได้ด้วย”
คุณพิพิธอธิบายว่า ปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่เรียกว่า “เศรษฐกิจผสานมิติ (Augmented Economy)” คือ เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลเทคโนโลยีมีการเชื่อมต่อโลกออนไลน์และออฟไลน์อย่างผสมผสานกลมกลืน การอยู่รอดของทุกธุรกิจจะต้องอาศัยทักษะและนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเข้าถึงลูกค้าให้ได้มากที่สุด โดยมีแนวคิด 3 ด้าน
KVision คือ บริษัทที่กสิกรไทยจัดตั้งขึ้นมาใหม่เงินลงทุนกว่า 8 พันล้านบาท เพื่อแสวงหาเทคโนโลยีและลงทุนใน FinTech หรือ Startup มีจุดประสงค์ในการเป็นสะพานเชื่อมกับบริษัทเทคโนโลยีในต่างประเทศ โดยปัจจุบัน KVision ได้จัดตั้ง Innovation Lab ขึ้น ใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย อิสราเอล จีน อินโดนีเซีย และเวียดนาม เพื่อเฟ้นหา Innovation, Tech Partner, และ Tech Talent ใหม่ ๆ เพื่อนำมาสนับสนุนการพัฒนาบริการของธนาคารใน CCLMVI ควบคู่กับแสวงหาเทคโนโลยีที่ช่วยต่อยอดธุรกิจ
ให้คำแนะนำและเชื่อมโยงพันธมิตรในท้องถิ่น ให้กับลูกค้าจากช่องทางและพันธมิตรที่มีอยู่ครบทุกประเทศ ทำให้เข้าใจบริบทของการทำธุรกิจในแต่ละประเทศ
ให้บริการทางการเงินเพื่อเชื่อมโยงการค้าระหว่างลูกค้ากับคู่ค้า ในต้นปีนี้ธนาคารจะเริ่มให้บริการ Solution ดังกล่าวในลาวและกัมพูชาก่อน โดยการนำระบบดิจิทัลเข้ามาช่วยให้การชำระค่าสินค้าระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเกิดความคล่องตัวยิ่งขึ้น สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สร้างแพลตฟอร์มการชำระเงินแห่งภูมิภาค เพื่อสร้างความสะดวกสบายและเข้าถึงผู้บริโภครายย่อยในภูมิภาคผ่านแพลตฟอร์มของธนาคาร โดยปัจจุบันธนาคารได้เริ่มแผนการดังกล่าวจากโครงการ “QR KBank” แอปฯ กระเป๋าเงินออนไลน์สำหรับชาวเวียงจันทน์ใน สปป.ลาว ให้สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างสะดวกสบายโดยไม่ใช้เงินสด สนองนโยบายรัฐบาล สปป.ลาว นำร่องให้บริการที่ตลาดหนองจัน หรือ “ตลาดขัวดิน” เป็นพื้นที่แรก ตั้งเป้าปี 2562 นี้ จะมีธุรกรรมผ่าน “QR KBank” ประมาณ 2 ล้านรายการ มูลค่ากว่า 36,000 ล้านกีบหรือประมาณ 115 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างแพลตฟอร์มการชำระเงินแห่งภูมิภาค ช่วยให้ธนาคารเข้าใจถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใช้จ่ายด้วยระบบดิจิทัล (Digital Spender) ในลาวอีกด้วย พร้อมตั้งเป้าหมายขยายการให้บริการและเชื่อมต่อแพลตฟอร์มเข้าด้วยกันทั่ว CCLMVI ในอนาคต
คุณพิพิธเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ตอนนี้เราสนใจในลูกค้าจีน มีการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าจีน และจะมุ่งขยาย Digital Banking ในประเทศจีน เช่นการทำ Digital Lending จีนกับกลุ่มคนชั้นกลางในประเทศจีน โดยที่ไม่ต้องมีสาขา เพราะตลาดพร้อมอยู่แล้ว ทั้งนี้ยังมีเป้าหมายมุ่งเติบโต 8 เท่าใน 3 ปี ในตลาดต่างประเทศ
คุณปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีสัดส่วนประชากรที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ 82% ทำธุรกรรมบน Mobile Banking 74% และซื้อสินค้าออนไลน์ 48.5% ของประชากรไทยทั้งหมด ดังนั้นภาคธนาคารต้องปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลง โดยที่ผ่านมาเราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแล้วได้แก่ โครงการพร้อมเพย์ , การชำระเงินด้วย QR Code โดยภายในปี 2020 จะเริ่มมีการพัฒนาการทำงานไปสู่ในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ QR Code ชำระค่าบริการในต่างประเทศ และพัฒนา Blockchain
โดยกสิกรไทย มีการวางแผนจะนำเทคโนโลยี Blockchain ต่อยอดสู่บริการรับรองเอกสารทางการศึกษา (E-Transcript) ที่จะช่วยสร้างความมั่นใจ เพิ่มความสะดวก ให้แก่นิสิต นักศึกษาที่จบใหม่ รวมทั้งบุคคลที่ต้องการหาตำแหน่งงานและองค์กรที่กำลังเปิดรับบุคลากร
จะมีการดำเนินโครงการ National Digital ID (NDID) มาใช้เพื่อให้ลูกค้ามีความสะดวกมากขึ้น ไม่ต้องมาถึงธนาคาร ทั้งสามารถยืนยันตัวตนผ่านระบบออนไลน์ ช่วยให้เปิดบัญชีผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ทุกที่ทุกเวลา การขอสินเชื่อและการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ทางออนไลน์ รวมทั้งโครงการเอทีเอ็มสีขาว (White-Label ATMs) ที่จะช่วยให้ธนาคารบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น รวมทั้ง NO FEE ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมจากการกดเงิน
คุณขัตติยา อินทรวิชัย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า Data คือ ทรัพย์สินที่มีค่าของธนาคาร และ Data เกิดขึ้นในทุก ๆ ที่และทุก ๆ เวลา จึงเป็นโจทย์ของกสิกรไทยที่จะนำ Data มาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด โดยธนาคารเริ่มเดินหน้า Analytics ในการแปลงข้อมูลมาเป็น insight เพื่อให้เข้าใจ รู้ใจลูกค้ามากยิ่งขึ้น และเสนอบริการที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคล (Segment of one - insight) อีกทั้งยังมีการตั้ง Data Analytic Office (DAO) มาขับเคลื่อนข้อมูลโดยเฉพาะ
“เราทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องยากให้ง่ายด้วยพลังของข้อมูล”
สร้างประสบการณ์ที่ดีกว่าเดิมด้วยพลังของ Data
ทั้งนี้ ธนาคารให้ความสำคัญสูงสุดต่อการรักษาความเป็นส่วนตัว โดยข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์จะไม่สามารถระบุตัวตนของลูกค้าได้ และธนาคารจะไม่มีการแชร์ข้อมูลลูกค้าโดยเด็ดขาด หากปราศจากการให้ความยินยอมของลูกค้า
โดยธนาคารมีความพร้อมทั้ง 4 ด้านในการผลักดันการใช้ข้อมูล ได้แก่ ข้อมูล เทคโนโลยี บุคลากร และวัฒนธรรมองค์กรแห่งการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
และในด้านกระบวนการทำงาน ธนาคารได้มีการปรับโครงสร้างการทำงานภายใน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลและบริการลูกค้าให้ดียิ่งกว่าเดิม
คุณพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในส่วนของ Integrate คือการ Integrate บริการออนไลน์และออฟไลน์ และ Partner เข้าด้วยกัน แต่ในปีที่ผ่านมายอมรับว่ายังทำได้ไม่เต็มที่ ปีนี้จึงเตรียมเดินหน้า ทั้งภารกิจในการเดินหน้าหาลูกค้าใหม่ และมุ่งเป้าสินเชื่อรายย่อยให้เติบโต 9-12% โดยมี 3 ส่วนคือ
คุณเรืองโรจน์ พูนผล ประธาน กสิกร บิซิเนส – เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) นำเสนอแนวคิดแห่งนวัตกรรมใหม่ที่เรียกว่า ด้านนวัตกรรมทางการเงินใหม่ที่เรียกว่า Cognitive Banking ที่ส่งมอบคุณค่า 3 ด้านให้แก่ลูกค้า ประกอบด้วย
“เราพยายามที่จะสร้าง cognitive banking เปรียบเสมือนเรามอบพนักงาน 20,000 คนในการดูแลลูกค้า 1 คน เราพยายามเป็น super app หา partner เพื่อเข้าไปอยู่ในชีวิตของลูกค้าให้มากขึ้น อีกทั้งเราพยายามจะสร้าง Super employee”
นอกจากนี้คุณเรืองโรจน์ยังนำเสนอ Augmented Intelligence (AI) มาใช้ขับเคลื่อนองค์กร ที่ไม่ได้มาจากปัญญาประดิษฐ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากบุคลากรอีกด้วย
“โลกของเรากำลังจะก้าวข้าม AI ไปสู่การทำงานของ คน + เครื่องจักร”
โดย KBTG จะเป็นพันธมิตรกับทั้ง Startup องค์กรชั้นนำ ผ่านนวัตกรรมแห่งความร่วมมือ 3 รูปแบบ ได้แก่
“เป้าหมายการพัฒนา KBTG ไปสู่การเป็นองค์กรเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเปลี่ยนแกนเทคโนโลยีของโลกมาสู่ประเทศไทย ภายในปี 2565”
สำหรับในปีนี้ KBTG ได้งบลงทุนด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และบุคลากร กว่า 5,000 ล้านบาท
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด