
นับตั้งแต่ปี 2024 AI ได้ก้าวไปไกล และโลกก็ยังคงถูกเปลี่ยนแปลงโดยเทคโนโลยีนี้อย่างต่อเนื่อง แม้หลายคนอาจรู้สึกว่า AI กำลังเข้าสู่ช่วง AI Winter อีกครั้ง (อ่านบทความเกี่ยวกับ AI Winter ได้ที่นี่) และกำลังอยู่ใน Trough of Disillusionment หรือหุบเหวแห่งความผิดหวัง
แต่คุณกระทิง-เรืองโพจน์ พูนผล Group Chairman จาก KBTG ที่ได้ขึ้นพูดในงาน KBTG Techtopia: At World's Beginning มองว่า นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่สดขององค์กรที่จะต้องผลักดันตัวเองให้ไปถึง Plateau of Productivity หรือที่ราบสูงแห่งผลิตภาพให้ได้ แล้วเรื่องนี้หมายถึงอะไร ?
คุณกระทิงเล่าว่า หลายบริษัทกำลังดิ้นรนกับการทรานส์ฟอร์มด้าน AI เพราะการทรานส์ฟอร์ม AI เป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าแค่ตัว AI การจะปลดล็อกมูลค่าของ AI ได้นั้นต้องอาศัยสมการที่ประกอบด้วย
Use Case + Data + AI Model + Process + Governance + Human in the Loop + Leadership + Holistic Change Management
หมายความว่าถ้าอยากจะทรานส์ฟอร์มองค์กรด้วย AI ให้สำเร็จ ต้องเปลี่ยนวิธีคิดจาก +AI ซึ่งคือการนำ AI ไปเสริมในระบบเดิม ไปสู่ AI+ ที่ให้ AI เป็นแกนหลักในการทำงาน โดยเริ่มต้นจากการวางรากฐานข้อมูลไปสู่การใช้ AI ทำงานแทนที่ Workflow เดิมได้ทั้งหมด
ในตอนนี้ AI กำลังเผชิญหน้ากับทางแยกมากมาย และมนุษย์คือผู้ที่จะต้องตัดสินใจว่าเทคโนโลยีนี้จะพาเราไปในเส้นทางใด
คุณกระทิง อธิบายให้เห็นภาพง่ายๆ ว่า ตอนนี้มี 6 ทางแยกที่ท้าทายอนาคตของ AI ซึ่งสะท้อนถึงความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่อยู่บนบ่าของพวกเราทุกคน

AI Agents มีศักยภาพมหาศาลในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานผ่านการทำให้งานที่ซับซ้อนเป็นอัตโนมัติ โดยคาดการณ์ว่าภายในปี 2028 การตัดสินใจในงานประจำวันกว่า 15% จะเกิดขึ้นโดย Agentic AI คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า AI Agents เหล่านี้จะเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก หรือจะเป็นตัวแทนของสิ่งที่ชั่วร้ายกันแน่ ?

นี่คือทางแยกที่สำคัญที่สุด คุณกระทิงย้ำว่า เราต้องใช้เวลา ทรัพยากร และความมุ่งมั่นในการกำกับดูแล จัดระเบียบ และควบคุม AI ให้มากเท่ากับที่ทุ่มเทให้กับการสร้างมันขึ้นมา

ทางแยกนี้คุณกระทิงอธิบายว่า คือการเลือกระหว่างมุ่งสร้าง AI ที่ใช้งานได้จริงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ กับการไล่ตามเป้าหมายสูงสุดอย่าง Artificial General Intelligence (AGI) ที่มีความสามารถเหนือกว่ามนุษย์ ซึ่งคุณกระทิงเสนอว่า อนาคตไม่ใช่ either-or อีกแล้ว แต่คือการสร้างสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้ การสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่สุด หรือการสร้างสิ่งที่เข้ามาแก้ปัญหาประจำวันให้กับชีวิต

คุณกระทิงบอกว่า ไม่มีบริษัทหรือประเทศใดสามารถแก้ปัญหาความท้าทายของ AI ได้เพียงลำพัง ความร่วมมือนี้ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ AI ยกระดับมวลมนุษยชาติ

การใช้งาน AI มีต้นทุนด้านพลังงานมหาศาล เราจึงต้องมีแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพ และความยั่งยืนเป็นอันดับแรก เพราะ Sustainable AI เป็นหนทางเดียวที่จะสเกล AI อย่างรับผิดชอบเพื่อมวลมนุษยชาติ

เราอาจใช้ AI เพื่อสเกลและทำให้ปัญญาเป็นประชาธิปไตย แต่หากประโยชน์กระจุกตัวอยู่แค่คนกลุ่มบน มันก็ะยิ่งทำให้ช่องว่างทางปัญญา และความเท่าเทียมกว้างขึ้นไปอีก
แม้จะมีทางแยกมากมายที่มนุษย์ องค์กร และผู้พัฒนา AI ต้องเลือก แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนที่สุดคือ AI มันเองไม่ได้จะเปลี่ยนโลก แต่เป็นมนุษย์ที่ใช้ AI ต่างหากที่จะเปลี่ยนโลก
คุณกระทิงบอกว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์แบบ และ AI ที่เป็นภาพสะท้อนของเราก็ย่อมไม่สมบูรณ์แบบเช่นกัน แต่เมื่อมนุษย์และ AI ผนึกกำลังกัน เราสามารถกลายเป็นประภาคารแห่งความหวัง เพื่อแก้ปัญหาที่เคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้
คุณกระทิงปิดท้ายด้วยการประกาศจุดยืนว่า KBTG พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้ ผ่านการทำงานร่วมกับองค์กรระดับโลกมากมาย เพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางอนาคต และสร้างโลกที่ดีกว่าเดิมเพื่อคนรุ่นต่อไป
ที่มา : ข้อมูลจาก Session 'How AI Changes Humanity (and How Humans Can Change The World' จากงาน KBTG Techtopia: At World's Beginning
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด