“ทุกคนสามารถเป็นนักออกแบบกราฟิกได้ด้วยการใช้ AI ทุกคนสามารถเป็นนักดนตรีหรือผู้สร้างภาพยนตร์ได้ด้วยการใช้ AI ทุกคนสามารถเป็นนักออกแบบภายในได้ด้วย AI อีกเช่นกัน” คุณกระทิง - เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) เกริ่นในงาน KBTG Techtopia ‘Across The AI-Verse’ ถึงการเพิ่มขีดความสามารถของมนุษย์ทุกคน ทุกอาชีพ ว่าสามารถทำได้ด้วย เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ภายใต้บรรยากาศและคอนเซ็ปต์งาน KBTG Techtopia ‘Across The AI-Verse’ ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 1-2 กันยายน 2566 ณ อาคาร KBTG เมืองทองธานี ทีมเทคซอสสัมผัสได้ถึงภาพลักษณ์ของบริษัทเทคโนโลยีที่มุ่งผลักดันการคิดและรังสรรค์สิ่งใหม่ผ่านการออกแบบสถานที่และใช้พื้นที่อย่างมีสเต็ป มีชั้นเชิง ดูล้ำสมัย แต่ไม่หยุดนิ่ง ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ว่า เป็นงานที่กระตุ้นความสงสัยใคร่รู้และเชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมงานเข้าไปค้นหาคำตอบว่า จักรวาล KBTG Techtopia ‘Across The AI-Verse’ แอบซ่อนความล้ำ ความลึกของเทคโนโลยี หรือศักยภาพอื่นใดของ AI เอาไว้บ้าง
หลังจากเข้าร่วมงาน พบว่า KBTG Techtopia ‘Across The AI-Verse’ เป็นงานคัดสรรการใช้ประโยชน์เทคโนโลยี AI ในภาคธุรกิจมานำเสนอภายในอย่างเข้มข้น โดยได้รับความร่วมมือจากพาร์ตเนอร์ 38 องค์กรชั้นนำจากประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ อิสราเอล ฯลฯ ที่มาร่วมออกบูธ จัดเวิร์กช็อป และร่วมส่ง 35 วิทยากรมาบอกเล่ามุมมอง องค์ความรู้ แนวทางการใช้งาน AI อย่างไรให้เวิร์ก ณ K Stadium เวทีแสดงไอเดียที่มีผู้สนใจเข้ารับฟังอย่างคับคั่ง
สิ่งที่หยิบมาบอกต่อเป็นพาร์ตแรกจากเวทีสัมมนา K Stadium ที่ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสและรับฟังเรื่องราวการพัฒนา รวมถึงแนวทางการใช้ประโยชน์จาก AI ซึ่งนำเสนอผ่าน 4 แกนหลัก โดย คุณกระทิง ประธานกลุ่มบริษัท KBTG ขึ้นกล่าวเป็นคนแรก ในแกน 'AI Trend and Outlook' โดยส่ง Key Messages ถึงทุกคนว่า ด้วยศักยภาพของเทคโนโลยี AI ที่พัฒนาได้อย่างไร้ขีดจำกัด ผู้ที่ใช้งานเป็นจะสามารถใช้ AI เป็นเครื่องมือเปลี่ยนอนาคตและพลิกโฉมโลกให้ดีขึ้นได้
“AI ยังสามารถพูดได้เหมือนมนุษย์ ในอนาคต คุณจะไม่อาจแยกความแตกต่างระหว่างเสียงที่สร้างโดย AI กับเสียงที่สร้างโดยมนุษย์ได้ด้วยซ้ำ”
“และที่พูดว่า AI จะทำให้คนตกงานนั้น ไม่เป็นความจริง ‘คนที่ใช้ AI เป็น’ ต่างหากที่จะเข้ามาแทนที่ คนที่ใช้ AI ไม่เป็น” คุณกระทิงทิ้งประเด็นให้ขบคิดต่อ จากนั้นกล่าวถึงความสำคัญของเทคโนโลยีที่ทุกคนต้องรู้ว่า
3 เทคโนโลยีที่สำคัญและสร้างอิมแพ็กอย่างมากในโลกยุคใหม่ เรียกสั้นๆ ว่า M.A.D. มาจาก ML (Machine Learning) การเรียนรู้ของเครื่องจักร, AI (Artificial Intelligence) ปัญญาประดิษฐ์ และ Data หรือ การรวบรวมและใช้ข้อมูลอย่างถูกต้อง ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว และต้องคำนึงถึงความปลอดภัยทางไซเบอร์
คุณกระทิงยังเผยอีกว่า เทคโนโลยี AI จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบนโลกอย่างรุนแรงและอาจส่งผลกระทบในระดับที่ใกล้เคียงกับ Climate Change ดังนั้น การจัดงาน KBTG Techtopia ในครั้งนี้ จึงต้องการทำให้คนตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยี มีพื้นที่ให้ทุกคนได้เรียนรู้เกี่ยวกับ ML, AI และ Data แล้วมาจินตนาการถึงอนาคตร่วมกัน (Co-imagine) สำรวจความเป็นไปได้ร่วมกัน (Co-exploring) มาค้นคว้าวิจัยร่วมกัน (Co-thinking) และร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งใหม่ (Co-creating) เพื่อทำให้ระบบนิเวศ AI แข็งแกร่งและลดช่องว่างด้านความเหลื่อมล้ำลง
ไซมอนกล่าวถึง Generative AI ในมุมที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ ขณะเดียวกัน ก็ช่วยให้ผู้ประกอบการได้ลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเดิมเอาไว้ได้ โดยสิ่งหนึ่งที่ผู้คนสนใจกันมากคือ AI จะช่วยให้ธุรกิจดีขึ้นได้อย่างไร
จากการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา Adobe จึงมีรูปภาพและคอนเทนต์ดิจิทัลซึ่งถือเป็น Data จำนวนมหาศาล หรือเรียกได้ว่า Adobe มี ‘ของ’ มาเทรนอัลกอริธึมของตัวเอง ต่อมา Adobe ก็พัฒนา Generative AI และประกาศชื่อ Adobe Firefly แพลตฟอร์มที่ให้ Generative AI สร้างผลงานภาพออกมาให้ใช้งาน ซึ่งสามารถขยายขีดความสามารถทางธุรกิจออกไปและสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้าได้
เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้า องค์กรอาจให้นักการตลาดที่ไม่มีทักษะดิจิทัลได้ทดลองใช้งานก่อน ลองจนสามารถนำสิ่งนี้ไปใส่ใน Photoshop ได้ หลังจากนั้นอาจลองเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ในการทำธุรกิจได้ โดยไม่ต้องอบรมการใช้งาน และไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดโปรแกรมแต่อย่างใด เพราะทั้งหมดทำงานอยู่บนระบบคลาวด์
คุณอาภาพรเล่าย้อนถึงวิวัฒนาการของเทคโนโลยีก่อนที่จะมาเป็น Generative AI ตั้งแต่มีการพัฒนา AI (1956), Machine Learning (1997), Deep Learning (2017) จนถึง Generative AI (2022)
“Machine Learning ช่วยตรวจจับการฉ้อโกง ตรวจสอบการโอนเงินที่ผิดปกติได้ แต่เมื่อสิ่งต่างๆ มีความซับซ้อนมากขึ้น Machine Learning ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ นำมาสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเป็น Deep Learning ที่สามารถเลียนแบบความคิดหรือลักษณะการทำงานของสมอง และพัฒนามาเป็น Generative AI โดยทำได้ทั้งการตรวจจับและสรรค์สร้างสิ่งใหม่ (Generate) ได้ เช่น ข้อความ รูป เสียง วิดีโอ”
ต่อด้วยการอธิบายคำว่า Foundation Models โมเดลที่สามารถนำมาปรับแต่งได้ (Adaptation) ทำได้หลายอย่าง หรือเมื่อเจอโจทย์ใหม่ๆ ก็ให้คำตอบได้ เช่น บอกได้ว่าของนั้นคืออะไร Sentiment ของผู้ใช้เป็นอย่างไร และสรุปภาพการใช้ Generative AI โดยทั่วไปว่ามี 4 ด้านหลัก ซึ่งสอดคล้องกับการใช้ AI เพื่อวัตถุประสงค์ทั่วไป (General Purpose) ที่คุณกระทิงกล่าวถึง นั่นคือ
คุณปัญญพลเล่าถึงบริการภายใต้แบรนด์ AWS ซึ่งมีการใช้ ML และ AI มานานแล้ว และกล่าวถึง Generative AI ว่า จุดที่ทำให้ทุกคนเริ่มใช้งานและมาแรงมากในช่วง 2-3 ปีนี้ มี 3 ปัจจัย
ปริมาณข้อมูล (Data) ที่มีอยู่มหาศาลในปัจจุบัน โดยคาดว่ามีมากกว่า 6,000 ล้านเพจ
พลังในการประมวลผล (Compute Power) มีมากขึ้น องค์กรใหญ่หรือเล็กก็สามารถเข้าถึงได้ เช่น Cloud Provider
สถาปัตยกรรมของเทคโนโลยี ML ใหม่ๆ ได้รับการพัฒนาไปมาก เช่น Transformer Model ที่นำมาเทรนให้โมเดลเรียนรู้ข้อมูลหลายพันๆ ล้านเพจได้ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน และกลายเป็นโมเดลขนาดใหญ่หรือที่เรียกว่า Foundation Models
ต่อมา คุณปัญญพลยกกรณี Stability.ai บริษัทที่อยู่เบื้องหลัง Stable Diffusion เว็บ AI Art Generator ที่สร้างสรรค์งานภาพจากข้อความหรือคำสั่ง (prompt) ที่ผู้ใช้งานพิมพ์ลงไป ซึ่งเว็บนี้ทำงานอยู่บนระบบคลาวด์ของ AWS และมีผู้ใช้งานทั่วโลก โดยภาพที่ใส่เข้าไปใน Gen แรกๆ มีมากกว่า 5 พันล้านรูป และใช้พื้นที่บนคลาว์มากกว่า 240 TB
“มีคนบอกว่า AI คือไฟฟ้า AI City คือ Electric City ผมบอกเลยว่า ไม่ใช่ AI คืออากาศที่คุณหายใจ” คุณกระทิงกล่าวเปรียบเทียบเพื่อตอกย้ำความสำคัญของเทคโนโลยี AI ที่เด็กรุ่นใหม่จำเป็นต้องเรียนรู้
AINU บริษัทที่เชี่ยวชาญด้าน AI Business Solution ฝีมือคนไทย โดดเด่นในด้านเทคโนโลยียืนยันตัวตนและการตรวจสอบความถูกต้อง เช่น ระบบ Face Recognition, ID OCR ที่แปลงข้อมูลจากบัตรประชาชนได้อย่างรวดเร็ว และระบบ Liveness Detection ที่ได้มาตรฐานระดับสากล
หากคุณเคยใช้แอป Slack คุยงาน ติดตามงาน รับ-ส่งไฟล์ในองค์กรทำได้อย่างง่ายดาย หลังจากมีการอินทิเกรต Generative AI เข้าไปนั้น ผู้ใช้งานสามารถทำงานได้เร็วขึ้น ลดต้นทุนเวลาลง และได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น การเขียนคำสั่ง (Prompt) ให้บอตใน Slack ช่วยสรุปคอนเทนต์จากข้อความ (Text Summarizing) ที่ใส่เข้าไปให้หน่อย, ให้บอตช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับการทำงาน ประสานงานภายในทีม ทั้งยังสามารถป้อนคำถาม ค้นหาข้อมูลวิจัย หรือข้อมูลจากพาร์ตเนอร์ (External Information) ขอไอเดียผ่านแอปพลิเคชันที่อินทิเกรตเข้ามาในระบบนิเวศของ Slack ได้อีกด้วย เช่น Google Cloud, OpenAI ทำให้ผู้ใช้งานเข้าถึงข้อมูลรวดเร็วขึ้น จากในอดีตที่เคยค้นหาข้อมูลเป็นวัน อาจใช้เวลาเพียงชั่วโมงหรือนาที ทำให้เห็นว่า Generative AI มีศักยภาพในการกำหนดวิธีการทำงานใหม่ๆ อย่างแท้จริง
ตลาดคริปโตร่วง กระแสการสะสม NFT ก็แผ่วลงจากปีก่อนๆ แต่ KBTG ก็ยังเดินหน้าพัฒนา Coral โดยแยกการซื้อขาย NFT จากแพลตฟอร์มเดิมที่ต้องทำรายการบนระบบบล็อกเชนของ Metamask ออกมาเป็นแอปพลิเคชันที่รองรับคอมมูนิตี้ของนักสะสม NFT, แบรนด์สามารถใช้แพลตฟอร์มในการออกผลิตภัณฑ์ NFT และโทเคนสำหรับผู้สนใจได้ ตลอดจนเป็นพื้นที่ซื้อขายของสะสมดิจิทัลอื่นๆ ได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม แอป Coral ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาแต่สามารถดาวน์โหลดเพื่อทดลองใช้งานก่อนได้
#KBTGTechtopia #AcrossTheAIVerse
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด