ถอดบทเรียนจาก 'ลี เซียนลุง' นายกสิงคโปร์ 'ภาวะผู้นำ' ในยามวิกฤติรับมือไวรัสโคโรน่าระบาด | Techsauce

ถอดบทเรียนจาก 'ลี เซียนลุง' นายกสิงคโปร์ 'ภาวะผู้นำ' ในยามวิกฤติรับมือไวรัสโคโรน่าระบาด

จากสถานการณ์ที่ไวรัสโคโรน่าได้ระบาดไปทั่วโลก และมีผู้ติดเชื้อ และเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นทุกวัน กลายเป็นวิกฤติที่สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้สิ่งหนึ่งที่ได้รับการพูดถึงการมากที่สุดคือ 'การจัดการปัญหาของผู้นำในแต่ละประเทศ' เพราะเมื่อใดก็ตามที่สังคม หรือองค์กรประสบกับวิกฤติ 'ภาวะผู้นำ' ถือเป็นกระบวนการที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมาก ในการที่จะชี้นำ และสนับสนุนให้เกิดความร่วมมืออย่างเต็มใจ รวมถึงการบรรเทาและฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ 

หนึ่งในประเทศที่ได้รับการยกย่องถึง การจัดการปัญหา และการมีภาวะผู้นำที่ดีที่สุด คือ สิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่สูงเป็นอันดับ 3  รองจากประเทศญี่ปุ่น และจีน  ในบทความนี้ Techsauce ได้มีการถอดรหัสคำพูดจากการสื่อสารต่อประชาชนของ 'ลี เซียนลุง' นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ในการรับมือและแก้ไขสถานการณ์วิกฤติได้อย่างสำเร็จ 

ลี เซียนลุง ได้มีแถลงถึงสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรน่าผ่านสื่อเมื่อวันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์  2563 เพื่อให้ประชาชนชาวสิงคโปร์ได้ทราบถึงสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ การเตรียมตัวรับมือ ความเชื่อมั่น รวมถึงการเรียกขวัญและกำลังใจ 

เขาได้เริ่มบทสนทนาด้วย การพูดถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน อย่างที่ไม่หลีกเลี่ยงการบอกความจริงกับประชาชนด้วยสีหน้าและท่าทางที่เป็นมิตรและน้อมรับ โดยเขากล่าวว่า "ตอนนี้เราทุกคนกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์โรคระบาดไวรัสโคโรน่า มาเป็นเวลา 2  สัปดาห์แล้ว รัฐบาลกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะรับมือกับการระบาดของไวรัสโคโรน่าในครั้งนี้  โดยในวันนี้ผมจะมาสรุปสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะให้ข้อมูลกับชาวสิงคโปร์เตรียมตัวรับมือในระยะต่อไป 

วันนี้ผมขอเรียนตามตรง ถึงสถานการณ์ที่รอเราอยู่ข้างหน้า... นายกสิงคโปร์ กล่าวต่อด้วยสีหน้าที่จริงจังขึ้นในการบรรยาย เพื่อบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นให้กับประชาชน  โดยเขาเท้าความไปถึงช่วงวิกฤติโรคซาร์สที่เคยระบาดเมื่อ 17 ปีก่อน ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราสามารถที่จะรับมือกับไวรัสโคโรน่าได้ดีขึ้น 

โดยเราได้มีการจัดเตรียมหน้ากากอนามัยและอุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคลไว้อย่างเพียงพอ และเรามีการพัฒนาอุปกรณ์เครื่อมือทางด้านการแพทย์ รวมถึงเราได้มีการศึกษาเรื่องไวรัสมาอย่างต่อเนื่อง เรามีหมอและพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอ ต่อการรับมือในสถานการณ์เช่นนี้ อีกทั้งเรายังมีการเตรียมการทางด้านจิตวิทยาด้วย  ซึ่งจะทำให้ชาวสิงคโปร์รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และควรรับมืออย่างไร" 

ขอบคุณภาพจาก Freepix

หลังจากนั้น ลี เซียงลุง กล่าวต่อไปด้วยสีหน้าเปี่ยมด้วยการให้กำลังใจกับประชาชน ในการผ่านการรับมือโรคซาร์สมาแล้ว โดยยกตัวอย่างจากความสำเร็จในครั้งนั้นที่สามารถผ่านมาได้ เปรียบเทียบให้ประชาชนเห็นภาพ และเข้าใจง่าย จากการที่ซาร์ส ถือเป็นโรคระบาดร้ายแรง ณ ช่วงเวลานั้น แต่ไวรัสโคโรน่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่มีใครรู้อนาคตเลยว่าจะรุนแรงไปขนาดไหน และแนวโน้มจะหยุดระบาดเมื่อไหร่ โดยลี เซียนลุงอาศัยการเปรียบเทียบด้วยการบอกถึงความแตกต่างของโรคทั้ง 2  ว่า 

"อย่างแรก คือ โรคไข้หวัดโคโรน่า เป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายกว่าโรคซาร์ส และหยุดการแพร่กระจายยากกว่า

อย่างที่สอง ไวรัสโคโรน่าอันตรายน้อยกว่าไวรัสซาร์ส โดยที่ผ่านมาโรคซาร์สประชากรที่ติดโรคมีอัตราการตายอยู่ที่ประมาณ 10%  ส่วนโคโรน่าเป็นไวรัสใหม่ที่มาจากมณฑลอู่ฮั่น มีอัตราการตายอยู่ที่ประมาณ 0.2% ขณะที่ไข้หวัดธรรมดา มีอัตราการตายอยู่ที่ 0.1%  ดังนั้นเมื่อเทียบกันแล้ว ไข้หวัดโคโรน่าจะคล้ายกับไข้หวัดใหญ่มากกว่าโรคซาร์ส"

นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ กล่าวอีกว่า "สถานการณ์การระบาดของโรคดังกล่าวยังคงมีการพัฒนาทุกวัน ดังนั้นเรามีการเตรียมการที่พร้อมจะตอบสนองทันที โดยช่วงที่ผ่านมาเราได้มีการติดตามอย่างใกล้ชิด ถึงประชากรที่มาจากจีน และเราสามารถสืบหาและค้นพบคนที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า แล้วนำไปขึ้นบัญชีว่าได้มีการสัมผัสโรคดังกล่าวแล้ว และแยกออกจากประชากรของเรา  แต่ยังมีสิ่งที่น่ากังวลใจอีกอย่าง คือ ไวรัสโคโรน่าที่กำลังปะปนอยู่ในประชากรของเราเอง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาให้เราได้มีการยกระดับมาตรฐานติดตามเชื้อไวรัสป็นระดับสีส้ม 

เมื่อเป็นเช่นนี้เราได้มีการลดกิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่สาธารณะ ที่จะทำให้เชื้อไวรัสโคโรน่าระบาดได้ง่าย โดยเราได้มีการเลื่อนการจัดงานฉลองปีใหม่จีนออกไปก่อน สำหรับการยกระดับเป็นสีส้มนั้น ที่ผ่านมาเราได้ทำแล้วในช่วงปี 2009 ที่มีการระบาดของเชื้อไวรัส H1N1 

ดังนั้นประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก เพราะเราไม่ได้มีการปิดเมือง หรือว่าจำกัดให้ทุกคนอยู่แต่ในบ้าน เรามีเครื่องอุปโภคบริโภคเพียงพอ ประชากรทุกคนไม่จำเป็นต้องกักตุนอาหาร บะหมี่สำเร็จรูป อาหารกระป๋อง หรือกระดาษชำระ 

สิ่งสำคัญภายใต้การตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่ประชากรทำได้ 

  • อย่างแรก คือ  การดูแล และป้องกันตัวเอง รักษาสุขภาพให้เเข็งแรง ล้างมือสม่ำเสมอ อย่าเอามือไปสัมผัสหน้าหรือตาหากไม่จำเป็น 
  • อย่างที่สอง พยายามตรวจสอบตัวเองวัดไข้สม่ำเสมอ 
  • อย่างที่สาม ถ้ารู้สึกไม่สบายก็อย่าไปในที่แออัดหรือที่ชุมชน  และให้ไปหาหมอทันที นี่คือสิ่งที่ประชาชนสามารถช่วยทำกันได้อย่างง่าย ซึ่งจะสามารถลดการระบาดของไวรัสโคโรน่าได้ในเบื้องต้น

ตอนนี้เรายังคงติดตามการแพร่กระจายของเชื้ออยู่ ซึ่งอาจจะมีเพิ่มมาจากที่ไหนไม่รู้ได้อีก ซึ่งถ้าสถานการณ์ยังมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น เราก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการรับมือ โดยเราเองไม่สามารถกักตัวคนติดเชื้อได้ทั้งหมด หรือมีโรงพยาบาลในการรองรับที่เพียงพอ ดังนั้น ถ้ารู้สึกว่าเป็นเล็กน้อยก็อยู่บ้าน เพื่อที่จะให้ที่โรงพยาบาลสามารถรักษาคนไข้ที่เป็นหนักได้อย่างเต็มที่ รวมถึงคนแก่ และ เด็ก 

แต่ตอนนี้เรายังไม่ไปถึงจุดนั้น แต่ไม่ว่าจะเกิดหรือไม่เกิด เราก็ต้องคิดเตรียมการไว้ก่อน เผื่อมีอะไรเกิดขึ้น ผมจึงได้มาแชร์มาตรการรับมือที่เป็นไปได้ 

ผมมั่นใจว่าเราทุกคนจะผ่านวิกฤติโรคระบาดครั้งนี้ไปได้

วิกฤติโรคระบาดที่เกิดขึ้น บททดสอบจริง ๆ คือ การให้ความร่วมมือกันทางสังคม และความยืดหยุ่นทางจิตใจที่พร้อมต่อการรับมือจากวิกฤติที่เกิดขึ้น  แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้น คือ ความหวาดกลัว และความกังวล ซึ่งเป็นการตอบสนองโดยธรรมชาติของมนุษย์ ทุกคนต่างก็ต้องการปกป้องตัวเอง และครอบครัว จากโรคใหม่ที่เราไม่รู้ 

'แต่ความกลัวเป็นสิ่งที่ทำร้ายเราได้มากกว่าไวรัส' ถ้าเราทุกคนตื่นตระหนก หรือทำในสิ่งที่ทำให้แย่ลง ด้วยการปล่อยข่าวลือให้แพร่กระจายกันในออนไลน์ จนเกิดการกักตุนหน้ากากอนามัย อาหารสำเร็จรูป หรือแม้กระทั่งการตำหนิติเตียนกลุ่มคนที่ทำให้มีการระบาดของโรค แทนที่จะใช้ความกล้าหาญผ่านช่วงเวลาตึงเครียดนี้ไปด้วยกัน นี่คือสิ่งที่ชาวสิงโปร์ควรทำในขณะนี้"

พร้อมกันนี้ ลี เซียงลุง ได้กล่าวทิ้งท้ายสร้างขวัญและกำลังใจให้กับประชาชนว่า "ตอนนี้ผู้นำท้องถิ่น และอาสาสมัครกำลังนำหน้ากากอนามัยไปแจกตามบ้านเรือน นักศึกษามหาวิทยาลัยได้นำอาหารไปส่งให้เพื่อนที่หยุดอยู่บ้าน 

ผู้ที่ทำงานด้านสาธารณะสุข ซึ่งเป็นคนที่ต่อสู้กับเชื้อโรคโดยตรง พวกเขาได้ทำหน้าที่รักษาคนไข้ตามโรงพยาบาลและคลินิกช่วยให้คนไข้ดีขึ้นโดยเร็ว

ภาคธุรกิจ สหภาพแรงงาน พนักงานขับรถโดยสาร ต่างก็ให้บริการล่วงเวลาในการช่วยดูแลประชาชนชาวสิงคโปร์ พวกเขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับเราทุกคน นี่คือ ความเป็นคนสิงโปร์ นี่คือเรา 

เรามายืนหยัดที่จะผ่านพ้นวิกฤติการระบาดของโรคนี้ไปด้วยกัน  ใช้ความระมัดระวังอย่างสมเหตุสมผล  ช่วยเหลือคนอื่น ใจเย็น และดำเนินชีวิตต่อไป

ภาพลักษณ์ผู้นำที่ดูจริงใจ เข้าถึงง่าย ลงมือทำจริง

ในยามวิกฤติที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ‘ภาวะผู้นำ’ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการขับเคลื่อนประเทศไปสู่การคลี่คลายปัญหา สิ่งที่เห็น คือ การปรากฎตัวของ ลี เซียนลุง ต่อการรับมือวิกฤติครั้งนี้ ด้วยภาพลักษณ์ที่ดูจริงใจ เข้าถึงง่าย ลงมือทำจริง

สิ่งที่สังเกตได้อย่างหนึ่งของคลิปแถลงการณ์ คือ ภาพลักษณ์ของผู้นำที่แสดงถึงความใกล้ชิดกับประชาชน หน้าตาดูเป็นมิตร และสามารถเข้าถึงง่าย ด้วยการแต่งตัวใส่เสื้อเชิ้ตธรรมดา รูปแบบของการแถลงการณ์เป็นการนั่งเสมือนพูดคุยกับประชาชน ลักษณะท่าทางการนั่งที่ดูอ่อนน้อม ไม่ได้บอกถึงการแบ่งแยก หรือการแสดงอำนาจแต่อย่างใด แต่เป็นการสื่อสารอย่างเป็นกันเอง เก้าอี้ที่ไม่ได้ดูหรูหรา ฉากหลักที่เป็นสีพื้นธรรมดา ไม่ได้มีพิธีรีตรองมากมาย 

ลักษณะเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อการรับรู้ของประชาชนทั้งสิ้น ซึ่งการแสดงออก ด้วยสัญญะดังกล่าวนั้น เป็นการบ่งบอกเชิงจิตวิทยาว่า วิกฤติที่เกิดขึ้นสามารถแก้ไข และผ่านพ้นมันไปได้ รัฐบาลอยู่เคียงข้างประชาชน ปัญหาไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โต ที่จะต้องทำให้เป็นทางการมาก หรือจะต้องตึงเครียดแต่อย่างใด 

ถอดรหัสคำพูด 'ผู้นำ' ในยามวิกฤติ บ่งชี้อะไรได้บ้าง

John C. Maxwell ผู้เชี่ยวชาญด้านการเป็นผู้นำในสหรัฐอเมริกา ได้ระบุถึงหลักพื้นฐาน 7 ประการของภาวะผู้นำในยามวิกฤติ ดังนี้ 

  • การเข้าใจถึงแก่นของปัญหาอย่างแท้จริง : ในยามวิกฤติผู้นำต้องเข้าใจว่าอะไรคือปัญหาที่แท้จริง สถานการณ์ตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น ซึ่งในที่นี้ส่วนใหญ่คือ ความไม่รู้ของประชากรว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น และต้องรับมืออย่างไร นำไปสู่ความตื่นตระหนก ซึ่งจะนำผลเสียตามมาอีกมากมาย ลี เซียนลุงจึงเลือกที่จะสื่อสารกับประชาชนผ่านสื่ออย่างตรงไปตรงมา

  • ลงมือทำอย่างรวดเร็ว  :  หลังจากที่เข้าใจปัญหาแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือ การลงมือทำ สำหรับปัญหาการระบาดของไวรัสโคโรน่า อีกอย่างหนึ่งคือ ความหวาดหลัว และความกังวลของประชาชน การออกแถลงการณ์ชี้แจงสถานการณ์ เรียกขวัญและกำลังใจเช่นนี้ ถือเป็นหนึ่งในการลงมือทำอย่างรวดเร็ว 

  • ให้ความมั่นใจ  : สิ่งที่สังเกตได้ตลอดการแถลงการณ์ของลี เซียนลุง คือ การย้ำกับประชาชนว่า 'เราทุกคนจะผ่านวิกฤติโรคระบาดครั้งนี้ไปได้' พร้อมให้เหตุผลที่แสดงให้เห็นถึงการกระทำที่นำไปสู่การวางมาตรการต่าง ๆ ที่เป็นไปได้ต่อการควบคุมการระบาดของไวรัส

  • ลดความซับซ้อนของสถานการณ์ : ทำให้สถานการณ์ที่กำลังวิกฤติ จากความไม่รู้ และคลุมเครือ เกิดความกระจ่าง และแยกย่อยให้เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ในกรณีนี้ ลี เซียนลุง ได้พูดถึงโรคไข้หวัดโคโรน่าอย่างเข้าใจ และสื่อสารให้ประชาชนเห็นภาพตามและเข้าใจง่าย ด้วยการยกกรณีศึกษาที่ร้ายแรงที่เคยเกิดขึ้นอย่างโรคซาร์ส ที่เป็นที่จดจำของประชากรทั่วโลก ว่าไวรัสโคโรน่าไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น แต่คล้ายกับไข้หวัดใหญ่ ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้ พร้อมยกสถิติมาสนับสนุน

  • ขอความร่วมมือและความช่วยเหลือ : ในที่นี้คีย์สำคัญ คือ ประชาชนทุกคน ที่จะต้องยืนหยัด เข้มแข็ง และกล้าหาญที่จะผ่านวิกฤติโรคระบาด ซึ่งเป็นปัญหาระดับโลกไปให้ได้ โดยจะมีทั้งส่วนที่เป็นบุคคลากร เจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ที่จะต้องดูแลและรักษาผู้ป่วย และส่วนที่เป็นประชาชนทั่วไป ที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสที่ส่งผลต่อสุขภาพ และการปล่อยข่าวลือที่จะส่งผลต่อภาวะจิตใจ ดังนั้นนายกสิงคโปร์เลือกที่จะสื่อสารเพื่อขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคน


  • ตัดสินใจที่จะแก้ปัญหาไปทีละขั้นตอน : จากสถานการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้น ล้วนสร้างปัญหารอบด้าน และทุกอย่างจะมากองรวมกันจนกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และยุ่งเหยิง ดังนั้นสิ่งที่ผู้นำสามารถทำได้ คือ การตั้งสติและคลี่ปัญหาออกมาเป็นส่วน ๆ แล้วตัดสินใจดำเนินการแก้ไขไปทีละขั้นตอน ทีละด้าน ซึ่งจากแถลงการณ์ลี เซียนลุง ได้สื่อสารถึงสิ่งที่รัฐบาลกำลังกระทำให้ประชาชนรับรู้ทีละด้าน ไม่ว่าจะเป็นแนวทางป้องกันโรค การสืบหาผู้ที่เป็นโรค การรักษา ตลอดจนการดูแลด้านภาวะจิตใจของประชาชน


  • ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่สิ่งที่ง่าย : ในยามวิกฤติมักจะไม่มีเรื่องที่ง่ายเข้ามา เพราะขึ้นชื่อว่าวิกฤติ ภายในจะเต็มไปด้วยความซับซ้อน ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย รัฐบาลสิงคโปร์เลือกที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา และทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับพลเมืองในประเทศตัวเอง อีกทั้งการเลือกที่จะสื่อสารกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องรับความกดดันจากทุกมิติ และมีความเสี่ยงต่อความเข้าใจ แต่การกระทำเช่นนี้ถือเป็นแนวทางที่ถูกต้องที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ในยามวิกฤติเช่นนี้

อย่างไรก็ตามเหล่านี้ถือเป็นการวิเคราะห์โดยหยิบยกหลักการพื้นฐานของการเป็นผู้นำในยามวิกฤติจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเป็นผู้นำมาประกอบเท่านั้น แต่นายกสิงคโปร์ยังมีข้อบ่งชี้อีกหลากประการ ที่ชวนให้เรียนรู้ถึงคุณลักษณะของการเป็นผู้นำที่ดี ที่ทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นว่าจะพาประเทศชาติรอดพ้นจากวิกฤติที่เกิดขึ้นไปได้

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

เปิดกลยุทธ์ธุรกิจยุคใหม่ พลิกข้อมูล สู่ขุมทรัพย์ด้วย analyticX ด้วยพลัง Telco Data Insights และ GenAI

ยุคนี้ใคร ๆ ก็พูดถึง Data แต่จะใช้ Data อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่างหากคือกุญแจสำคัญ! ในสัมมนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ "Unlocking Data-Driven Decisions with Telecom Data Insights" ที่จั...

Responsive image

‘UOB Sustainability Compass’ เครื่องมือออนไลน์ด้านความยั่งยืน หนุน SMEs เปลี่ยน Vision เป็น Action

บทสัมภาษณ์ คุณอัมพร ทรัพย์จินดาวงศ์ และคุณพณิตตรา เวชชาชีวะ เกี่ยวกับ ‘UOB Sustainability Compass’ เครื่องมือออนไลน์ที่เข้ามาช่วย SMEs เริ่มดำเนินการด้านความยั่งยืนอย่างเข้าใจและไม...

Responsive image

Intel พลาดอะไรไป ? ทำไมถึงต้องเปลี่ยน CEO กะทันหัน ? ถอดบทเรียนราคาแพงจากยุค Pat Gensinger

การ ‘เกษียณ’ อย่างกะทันหันของ Pat Gelsinger อดีตซีอีโอ Intel ในต้นเดือนธันวาคม สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการเทคโนโลยี หลายฝ่ายมองว่าเป็นการบีบให้ออกจากบอร์ดบริหาร อันเนื่องมาจากผล...