เรามักตื่นเต้นกับเทคโนโลยีสุดล้ำที่แจ้งเกิดจากมหาวิทยาลัยระดับโลก แต่เคยสงสัยไหมว่าอะไรคือ 'สูตรลับ' ที่เปลี่ยนงานวิจัยเหล่านั้นให้กลายเป็นธุรกิจที่เติบโตได้จริง?
จากมุมมองของ รศ. ดร. บุญรัตน์ โล่ห์วงศ์วัฒน (CEO, Meticuly) ปัจจุบัน เป็นอาจารย์ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นนักวิจัยอาคันตุกะ(visiting scientist) ที่ MIT คำตอบไม่ได้อยู่ที่ตัวเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ซ่อนอยู่ใน 'โมเดลการลงทุน' ที่มหาวิทยาลัยอย่าง MIT, Stanford, และ Cambridge ใช้ในการปั้นบริษัท Spin-off ของตัวเอง ซึ่งแต่ละแห่งก็มีแนวทางที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ
วันนี้เราจะมาเจาะลึกกลยุทธ์ของสามมหาวิทยาลัยระดับโลก ว่าพวกเขามีแนวทางในการเปลี่ยนงานวิจัยบนหิ้งให้กลายเป็นธุรกิจพันล้านได้อย่างไร
MIT ไม่ได้มีนโยบายถือหุ้นในบริษัท Spin-off ทุกแห่งโดยอัตโนมัติ แต่จะใช้หน่วยงานอย่าง Technology Licensing Office (TLO) ในการเจรจา หากสตาร์ทอัพมีการใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ของมหาวิทยาลัย MIT อาจจะขอรับเป็นค่าสิทธิ์ (Royalty) หรือหุ้น (Equity) ในสัดส่วนประมาณ 5-10%
จุดเด่นของ MIT คือการมี Engine Ventures ซึ่งเป็นกองทุน Deep Tech ที่ MIT ให้การสนับสนุน (แต่แยกการบริหาร) พร้อมด้วย The Engine ที่เป็นเหมือน Incubator ขนาดใหญ่ มีพื้นที่แล็บและทรัพยากรครบครัน การที่ MIT หรือ The Engine เข้ามาถือหุ้น จึงเปรียบเสมือน 'ตราประทับชั้นดี (Rubber Stamp)' ที่ช่วยการันตีศักยภาพทางเทคโนโลยีและดึงดูดให้นักลงทุนจากภายนอกกล้าที่จะเข้ามาลงทุนต่อ
โมเดลของ Stanford ผ่าน Office of Technology Licensing (OTL) จะแตกต่างออกไป โดยเน้นความเป็นกลางและมีเป้าหมายเพื่อการเผยแพร่นวัตกรรมมากกว่าการสร้างกำไรสูงสุด Stanford จะไม่ลงทุนใน Spin-off ที่ไม่ได้ใช้ IP ของมหาวิทยาลัย
หากมีการใช้ IP มหาวิทยาลัยจะขอถือหุ้นประมาณ 5-10% แทนที่การเก็บค่า Royalty และสงวนสิทธิ์ในการซื้อหุ้นเพิ่มในอนาคต แต่จะวางตัวเป็น นักลงทุนเชิงรับ (Passive Investor) คือจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารจัดการโดยตรง
มหาวิทยาลัย Cambridge มีหน่วยงานที่ชื่อว่า Cambridge Enterprise ซึ่งทำหน้าที่เปรียบเสมือน Venture Capital (VC) Arm ของมหาวิทยาลัยอย่างเต็มรูปแบบ โดยจะเข้าไปลงทุนในบริษัท Spin-off ของตัวเองตั้งแต่ระยะเริ่มต้น (Early-Stage)
จุดที่น่าสนใจที่สุดคือ Cambridge Enterprise จะเข้ามามีบทบาทอย่างแข็งขัน (Active) และถือหุ้นในสัดส่วนที่สูงกว่าที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 10-30% และในบางกรณีอาจสูงถึง 50% แต่การถือหุ้นในสัดส่วนที่สูงนี้ก็มาพร้อมกับ "ความช่วยเหลือมหาศาล" ไม่ว่าจะเป็นการช่วยหาทีมบริหารมืออาชีพเข้ามาเสริมทัพ การเชื่อมต่อไปยังเครือข่ายนักลงทุน VC รายอื่นๆ และการปั้นนักวิจัยให้กลายเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นโมเดลที่มีความคล้ายคลึงกับแนวทางที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกำลังทำอยู่
จะเห็นได้ว่าทั้งสามมหาวิทยาลัยต่างมีปรัชญาและสไตล์การลงทุนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
MIT วางตัวเป็นผู้สนับสนุนที่มอบ ความน่าเชื่อถือ ผ่านการถือหุ้นในสัดส่วนไม่สูงมาก ขณะที่ Stanford เลือกเป็น นักลงทุนเชิงรับ ที่เน้นการเผยแพร่นวัตกรรมเป็นหลักมากกว่าการเข้ามาบริหารจัดการ
ในทางกลับกัน Cambridge เลือกสวมบทบาท VC เต็มตัว ที่กล้าถือหุ้นในสัดส่วนสูงเพื่อแลกกับการลงมาช่วยสร้างธุรกิจอย่างใกล้ชิด ซึ่งโมเดลที่แตกต่างกันนี้เองที่เป็นเบื้องหลังสำคัญในการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง และเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละแห่ง
อ้างอิง : รศ. ดร. บุญรัตน์ โล่ห์วงศ์วัฒน (CEO, Meticuly) ปัจจุบัน เป็นอาจารย์ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นนักวิจัยอาคันตุกะ(visiting scientist) ที่ MIT
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด