สรุปข้อมูลหลังจากทีมเทคซอสร่วมล้อมวงพูดคุยกับ ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA และ คุณปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA ทั้งภาพรวมการเติบโตของระบบนิเวศสตาร์ทอัพในประเทศไทย เทรนด์การเติบโตของสตาร์ทอัพในปี 2025 พร้อมเผยแนวทางสนับสนุน Deep Tech เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันให้ประเทศและทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลขยายตัว
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ให้ข้อมูลในภาพรวมของสตาร์ทอัพในประเทศไทยและตัวเลขการเติบโต ซึ่งตอกย้ำว่า ไทยเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพแห่งหนึ่งของโลก ดังนี้
ดร.กริชผกาถึงปี 2025 ว่าเป็นปีแห่งความท้าทายของธุรกิจสตาร์ทอัพ จากความผันผวนทางเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ พฤติกรรมการบริโภค คลื่นเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึงมิติด้าน Data Center ที่ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการลงทุน ทั้งจากผู้เล่นไทยและระดับโลก
3 ปีที่ผ่านมาขนาด Data Center ของไทยเติบโตกว่าร้อยละ 54 เป็นอันดับ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย และคาดการณ์ว่าปี 2024 – 2027 ประเทศไทยน่าจะสามารถดึงดูดการลงทุน Data Center ได้เป็นมูลค่าประมาณ 2.6 แสนล้านบาท
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ดร.กริชผการะบุว่า มี 3 กลุ่มเทคโนโลยีที่สตาร์ทอัพมีโอกาสและศักยภาพในการเติบโตสูงทั้งในไทยและต่างประเทศ นั่นคือ 1. เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) 2. เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (GreenTech) เทคโนโลยีสะอาด (CleanTech) และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Tech) และ 3. เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech)
"AI จะมีการใช้ในทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น AI ด้านจำหน่ายสินค้าและบริการ รู้พฤติกรรมผู้บริโภค, AI ด้านโฆษณาหรือสื่อ AI ด้านขนส่ง โลจิสติกส์ รู้เส้นทาง AI ด้านการแพทย์ เอ็กซเรย์ เก็บดาต้าลดโหลดของหมอและพยาบาล AI ที่เป็น EdTech ช่วยให้เกิดการเรียนผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ AI ด้านการเงิน ที่คอยคาดการณ์ วิเคราะห์ด้านการลงทุน" ดร.กริชผกากล่าว และยังบอกอีกว่า
ต่อไปคำว่า AI จะเป็นอีกคำที่เหมือนคำว่า Digital คือ จะไปอยู่ในทุกด้านของอุตสาหกรรม และจะอยู่ในทุกแพลตฟอร์ม
"ยกตัวอย่าง Carbonwize แพลตฟอร์มจัดการคาร์บอนฟุตพรินต์ ที่วัดค่าได้ ก็จะรู้ได้ว่าลดการปล่อยคาร์บอนได้จริง AltoTech สตาร์ทอัพที่วัดค่าของการดำเนินงานในกระบวนการต่าง ๆ ว่าเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานอย่างไร และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้แค่ไหน" ดร.กริชผกายังกล่าวเพิ่มอีกว่า ควรขยายผลโดยให้ภาคอุตสาหกรรมนำเทคโนโลยีของสตาร์ทอัพกลุ่มนี้ไปใช้งานต่อ เพื่อช่วยให้ธุรกิจเติบโตในระดับสากล
"ภายใน 3 ปี เราอยากทำให้เกิดยูนิคอร์น 1-2 ตัวในสาย GreenTech เพราะธุรกิจต้องการโซลูชัน ต้องมีการใช้จ่ายในด้านความยั่งยืน อีกกลุ่มคือ FinTech เพราะสามารถขยายไปในหลายอุตสาหกรรมได้ โดย NIA จะช่วยพาสตาร์ทอัพในพอร์ตที่เป็นซีรีส์ A ไปเป็น B จากการพาออกตลาดต่างประเทศ อย่างฮ่องกง สวีเดน" ดร.กริชผกากล่าวเสริม
ดร.กริชผกากล่าวเสริมว่า ภายใต้บทบาทผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม ในปี 2025 NIA ยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและสนับสนุนสตาร์ทอัพให้สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดผ่านกลไกและเครือข่ายที่มีอยู่ โดยเฉพาะในกลุ่ม Impact Tech ซึ่งสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับระบบเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์และการยอมรับประเทศไทยในฐานะ 'ชาตินวัตกรรม' มากกว่าการเป็นประเทศที่โดดเด่นในเรื่องการท่องเที่ยวและอาหาร
สำหรับกลไกการสนับสนุนของ NIA นั้นครอบคลุมทุกระยะตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจจนออกสู่ตลาดในระดับสากลภายใต้แนวคิด Groom – Grant – Growth – Global โดยเริ่มต้นจาก
สำหรับกลุ่มที่ต้องการเร่งการเติบโตเพื่อออกสู่ตลาด NIA มีการสร้างโอกาสขยายผลเพื่อการเติบโตทางธุรกิจ (GROWTH) ผ่านโปรแกรมบ่มเพาะและเร่งการเติบโตสตาร์ทอัพใน 4 ด้าน ได้แก่
รวมถึงการส่งเสริมและเผยแพร่ตัวอย่างความสำเร็จทางนวัตกรรมผ่าน โครงการนิลมังกร ซึ่งมีการต่อยอดเป็นนิลมังกร 10X ที่เน้นสร้างผู้ประกอบการนวัตกรรมคุณภาพสูงให้เข้าสู่ตลาดทุนโดยตั้งเป้ายอดขายไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทใน 3 ปี โดยมุ่งขยายและสร้างโอกาสต่อยอดสู่ระดับโลก (Global) ผ่าน Global startup hub ที่จะช่วยส่งเสริมการขยายตลาดไปยังตลาดต่างประเทศ โดย NIA ได้ร่วมเป็นเครือข่ายพันธมิตรกับหลายประเทศ เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เยอรมนี และประเทศกลุ่มนอร์ดิก
นอกจากนี้ NIA ยังมีกลไกส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบ Corporate Co-Funding ร่วมกับ สมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน หรือ TVCA โดยจะสนับสนุนเงินลงทุนมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท และยังมีหน่วยงานที่ร่วมสนับสนุนในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ได้แก่
ในด้านการใช้เทคโนโลยีเพิ่มมูลค่าหรือสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ คุณปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA บอกเพิ่มว่า Deep Tech มีความสำคัญต่อประเทศไทยอย่างยิ่ง และตอนนี้ NIA ก็มีความร่วมมือกับ 10 มหาวิทยาลัยในการลงทุนด้าน Deep Tech ซึ่งยอมรับว่า มีโอกาสที่ธุรกิจจะไปต่อได้หรืออาจล้มหายตายจาก
"ตัวอย่าง Deep Tech เช่น กระดูกเทียมไทเทเนียมที่ขึ้นรูปจากเทคโนโลยี 3D หรืองานวิจัยอื่น ๆ ที่ใช้ IoT ช่วย อันที่จริงมีผู้ลงทุนหา Deep Tech เยอะขึ้น โดยเฉพาะด้านการแพทย์มากที่สุด เพราะ Deep Tech นำไปสู่การเป็นทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ทำให้มีมูลค่าสูงขึ้น 10-15 เท่า และมีโอกาสในการสเกลสูง แต่ต้องใช้เวลานานหน่อย" คุณปริวรรตกล่าว
"เราเน้นมากเพราะ Deep Tech อยู่ได้ยาว เติบโตได้สูง เลียนแบบยาก และจะเป็นนโยบายหลักของกระทรวง อว. ในการส่งเสริมสาย Deep Tech ด้วย" ดร.กริชผกาขยายความ
ต่อด้วยการเผยพื้นที่เป้าหมายที่ NIA จะร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ กระตุ้นให้เกิดการส่งเสริมนวัตกรรม เทคโนโลยี และเพิ่มมูลค่าจากความคิดสร้างสรรค์ ดังที่ก่อเกิดเป็น Yothi Medical Innovation District (YMID) ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี, UBON ART FEST อีเวนต์นำร่องที่แสดงความเป็นนวัตกรรมและความครีเอทีฟของชาวอีสาน ซึ่งจัดขึ้นในจังหวัดอุบลราชธานี โดยล่าสุดจัดขึ้นเป็นปีที่ 3
นอกจากนี้ NIA ยังมีเป้าหมายที่จะทำ Space และ Co-maker Space ร่วมกับหลายหน่วยงานในพื้นที่ต่าง ๆ อาทิ
"นอกจากเราอยากให้ต่างชาติมองไทยเป็นฮับลงทุนด้านสตาร์ทอัพมากขึ้น เราก็เตรียมพาสตาร์ทอัพไปต่างประเทศด้วย โดยมี BOI ให้เงินลงทุนแบบ Grant ซึ่งทาง BOI ก็อยากลงทุนใน Deep Tech ด้วย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ" ดร.กริชผกากล่าวเสริม
นอกเหนือจากปัจจัยและกลไกต่าง ๆ ที่ NIA ได้ริเริ่มและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ยังมี พระราชบัญญัติการพัฒนาและส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ พ.ร.บ. สตาร์ทอัพ ซึ่งจะมี 40 มาตรการสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทยมีความเข้มแข็ง และเอื้อต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยคาดการณ์ว่าจะได้ใช้งานภายในปีนี้
ดร.กริชผกาตอกย้ำในตอนท้ายว่า ประเทศไทยต้องเร่งพัฒนาด้านบุคลากรร่วมด้วย เพื่อรองรับการเติบโตของตลาด รวมถึงสร้างความมั่นใจด้านนโยบายในระยะยาว เพื่อดึงดูดการลงทุนและสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องไปกับความท้าทายในสังคมยุค AI และการพัฒนาทักษะใหม่ของแรงงาน รวมถึงการมุ่งดำเนินธุรกิจตามแนวคิด ESG ของระบบเศรษฐกิจทั่วโลก เพื่อให้เกิดความยั่งยืนครอบคลุมทุกมิติ
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด