NIA เปิดข้อมูลระบบนิเวศสตาร์ทอัพ รับเทรนด์เติบโต 2025 และการจัดหาสเปซสำหรับ Deep Tech | Techsauce

NIA เปิดข้อมูลระบบนิเวศสตาร์ทอัพ รับเทรนด์เติบโต 2025 และการจัดหาสเปซสำหรับ Deep Tech

สรุปข้อมูลหลังจากทีมเทคซอสร่วมล้อมวงพูดคุยกับ ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA และ คุณปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA ทั้งภาพรวมการเติบโตของระบบนิเวศสตาร์ทอัพในประเทศไทย เทรนด์การเติบโตของสตาร์ทอัพในปี 2025 พร้อมเผยแนวทางสนับสนุน Deep Tech เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันให้ประเทศและทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลขยายตัว 

NIA

2021 - 2024 ปีแห่งการเติบโตของสตาร์ทอัพ

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ให้ข้อมูลในภาพรวมของสตาร์ทอัพในประเทศไทยและตัวเลขการเติบโต ซึ่งตอกย้ำว่า ไทยเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพแห่งหนึ่งของโลก ดังนี้

  • เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวนธุรกิจสตาร์ทอัพในไทยมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2021 โดยในปี 2024 มีการเติบโตสะสมเฉลี่ยจากปี 2021 เพิ่มถึงร้อยละ 3.3 แต่หากพิจารณาเฉพาะสตาร์ทอัพระดับ Seed พบว่ามีอัตราการเติบโตถึง 4% เมื่อเทียบปี 2024 กับปี 2023
  • ปี 2024 ไทยมีจำนวนสตาร์ทอัพราว 2,100 ราย โดยเป็นสตาร์ทอัพที่แอคทีฟอยู่ราว 800 ราย และส่วนมากอยู่ในกลุ่ม FinTech
  • ในบรรดาสตาร์ทอัพ 2,100 ราย แบ่งเป็นสตาร์ทอัพระยะ Pre-seed 700 ราย และระยะ Go-to market หรือ Growth 1,400 ราย 
  • ผลการจัดอันดับดัชนีระบบนิเวศสตาร์ทอัพโลก (Global Startup Ecosystem Index) ในปี 2024 โดย StartupBlink (ศูนย์กลางข้อมูลด้านระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่ครอบคลุมทั่วโลก) ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 54 ของโลก และอันดับที่ 4 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย 

2025 ปีแห่งความท้าทาย กับ 3 แนวโน้มสตาร์ทอัพรับโอกาสเติบโตสูง

NIAดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA และ คุณปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA

ดร.กริชผกาถึงปี 2025 ว่าเป็นปีแห่งความท้าทายของธุรกิจสตาร์ทอัพ จากความผันผวนทางเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ พฤติกรรมการบริโภค คลื่นเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึงมิติด้าน Data Center ที่ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการลงทุน ทั้งจากผู้เล่นไทยและระดับโลก 

3 ปีที่ผ่านมาขนาด Data Center ของไทยเติบโตกว่าร้อยละ 54 เป็นอันดับ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย และคาดการณ์ว่าปี 2024 – 2027 ประเทศไทยน่าจะสามารถดึงดูดการลงทุน Data Center ได้เป็นมูลค่าประมาณ 2.6 แสนล้านบาท 

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ดร.กริชผการะบุว่า มี 3 กลุ่มเทคโนโลยีที่สตาร์ทอัพมีโอกาสและศักยภาพในการเติบโตสูงทั้งในไทยและต่างประเทศ  นั่นคือ 1. เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) 2. เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (GreenTech) เทคโนโลยีสะอาด (CleanTech) และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Tech) และ 3. เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech)

  • 1) เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งกำลังปฏิวัติวงการธุรกิจอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่สร้างสรรค์ได้ (Generative AI) เนื่องจากสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทำให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการเข้ามาของระบบเอเจนต์ AI (AI Agentic Systems) ที่สามารถคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจได้เอง สามารถจัดการงานที่ซับซ้อน แก้ไขปัญหาที่ต้องใช้ข้อมูลหลายมิติได้ ทั้งนี้ พบว่า กลุ่มผู้บริหารองค์กรและนักลงทุนมากกว่าร้อยละ 70 ให้ความมั่นใจว่า ระบบ AI Agents จะเป็นเทคโนโลยีสำคัญในองค์กรทั้งเชิงการคิด การผลิต การแก้ปัญหา งานบริการ เร็วต่อทุกความต้องการของตลาด และช่วยลดการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีนัยสำคัญ

"AI จะมีการใช้ในทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น AI ด้านจำหน่ายสินค้าและบริการ รู้พฤติกรรมผู้บริโภค, AI ด้านโฆษณาหรือสื่อ AI ด้านขนส่ง โลจิสติกส์ รู้เส้นทาง AI ด้านการแพทย์ เอ็กซเรย์ เก็บดาต้าลดโหลดของหมอและพยาบาล AI ที่เป็น EdTech ช่วยให้เกิดการเรียนผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ AI ด้านการเงิน ที่คอยคาดการณ์ วิเคราะห์ด้านการลงทุน" ดร.กริชผกากล่าว และยังบอกอีกว่า 

ต่อไปคำว่า AI จะเป็นอีกคำที่เหมือนคำว่า Digital คือ จะไปอยู่ในทุกด้านของอุตสาหกรรม และจะอยู่ในทุกแพลตฟอร์ม

  • 2) เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (GreenTech) เทคโนโลยีสะอาด (CleanTech) และ Climate Tech เพราะปัญหาสิ่งแวดล้อมทวีความรุนแรงขึ้น หลายองค์กรให้ความสำคัญกับแนวคิด ESG มากขึ้น รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น ทำให้ตลาดเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด และมีการคาดการณ์ว่าตลาดเทคโนโลยีกลุ่มนี้จะเติบโตเฉลี่ยปีละเกือบร้อยละ 25 ตลอดระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า ด้วยโซลูชันใหม่ที่ตอบโจทย์ปัญหาสิ่งแวดล้อมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นพลังงานสะอาด การจัดการขยะ หรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น สตาร์ทอัพที่จะประสบความสำเร็จได้จึงควรสร้างโมเดลธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่กับการทำธุรกิจ

"ยกตัวอย่าง Carbonwize แพลตฟอร์มจัดการคาร์บอนฟุตพรินต์ ที่วัดค่าได้ ก็จะรู้ได้ว่าลดการปล่อยคาร์บอนได้จริง AltoTech สตาร์ทอัพที่วัดค่าของการดำเนินงานในกระบวนการต่าง ๆ ว่าเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานอย่างไร และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้แค่ไหน" ดร.กริชผกายังกล่าวเพิ่มอีกว่า ควรขยายผลโดยให้ภาคอุตสาหกรรมนำเทคโนโลยีของสตาร์ทอัพกลุ่มนี้ไปใช้งานต่อ เพื่อช่วยให้ธุรกิจเติบโตในระดับสากล

  • 3) เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธุรกิจ FinTech ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เป็นผู้นำในการดึงดูดการลงทุน และมีอัตราการระดมทุนในรอบ Seed สูงถึงร้อยละ 26 ซึ่งสูงที่สุดในปี 2567 ตามมาด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ร้อยละ 20 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความน่าสนใจของเทคโนโลยีดังกล่าว ทั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่สำคัญในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คือ สตาร์ทอัพต้องมีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์ ต้องสร้างระบบที่ปรับเปลี่ยนได้รวดเร็ว เสมือนการสร้างฐานรากที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ทำให้สตาร์ทอัพสามารถเติบโตและขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

"ภายใน 3 ปี เราอยากทำให้เกิดยูนิคอร์น 1-2 ตัวในสาย GreenTech เพราะธุรกิจต้องการโซลูชัน ต้องมีการใช้จ่ายในด้านความยั่งยืน อีกกลุ่มคือ FinTech เพราะสามารถขยายไปในหลายอุตสาหกรรมได้ โดย NIA จะช่วยพาสตาร์ทอัพในพอร์ตที่เป็นซีรีส์ A ไปเป็น B จากการพาออกตลาดต่างประเทศ อย่างฮ่องกง สวีเดน" ดร.กริชผกากล่าวเสริม

เร่งการเติบโตสตาร์ทอัพ ในแบบฉบับ NIA

NIA

ดร.กริชผกากล่าวเสริมว่า ภายใต้บทบาทผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม ในปี 2025 NIA ยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและสนับสนุนสตาร์ทอัพให้สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดผ่านกลไกและเครือข่ายที่มีอยู่ โดยเฉพาะในกลุ่ม Impact Tech ซึ่งสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับระบบเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์และการยอมรับประเทศไทยในฐานะ 'ชาตินวัตกรรม' มากกว่าการเป็นประเทศที่โดดเด่นในเรื่องการท่องเที่ยวและอาหาร

สำหรับกลไกการสนับสนุนของ NIA นั้นครอบคลุมทุกระยะตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจจนออกสู่ตลาดในระดับสากลภายใต้แนวคิด Groom – Grant – Growth – Global โดยเริ่มต้นจาก

  • กลไกการบ่มเพาะความรู้และสร้างเครือข่าย (GROOM) ผ่านสถาบันวิทยาการนวัตกรรม หรือ NIA Academy ที่มีหลักสูตรร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร และการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านออนไลน์ (MOOCs)
  • โครงการ Startup Thailand League ที่ช่วยพัฒนาศักยภาพและความสามารถด้านนวัตกรรมแก่เยาวชนในระดับอุดมศึกษา ให้มีทักษะและมุมมองในการเป็นผู้ประกอบการ พร้อมก้าวเข้าสู่โลกแห่งการเป็นสตาร์ทอัพที่ต้องออกสู่ตลาดจริง 
  • การสนับสนุนเงินทุนให้เปล่า (Grant) ในหลากหลายรูปแบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อเอื้อต่อการสร้างสรรค์ธุรกิจนวัตกรรมครอบคลุมทั้งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่น แพลตฟอร์มส่งเสริมธุรกิจนวัตกรรมที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ แพลตฟอร์มส่งเสริมธุรกิจนวัตกรรมรายภูมิภาค และทุนสำหรับนวัตกรรมเพื่อสังคม เช่น โครงการหมู่บ้านนวัตกรรม โครงการนวัตกรรมสำหรับเมืองและชุมชน

สำหรับกลุ่มที่ต้องการเร่งการเติบโตเพื่อออกสู่ตลาด NIA มีการสร้างโอกาสขยายผลเพื่อการเติบโตทางธุรกิจ (GROWTH) ผ่านโปรแกรมบ่มเพาะและเร่งการเติบโตสตาร์ทอัพใน 4 ด้าน ได้แก่ 

  • เทคโนโลยีอาหาร (โครงการ SPACE–F) 
  • เทคโนโลยีเกษตร (โครงการ AGROWTH) 
  • เทคโนโลยีด้านสุขภาพ (Health Tech) 
  • เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Tech) 

รวมถึงการส่งเสริมและเผยแพร่ตัวอย่างความสำเร็จทางนวัตกรรมผ่าน โครงการนิลมังกร ซึ่งมีการต่อยอดเป็นนิลมังกร 10X ที่เน้นสร้างผู้ประกอบการนวัตกรรมคุณภาพสูงให้เข้าสู่ตลาดทุนโดยตั้งเป้ายอดขายไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทใน 3 ปี โดยมุ่งขยายและสร้างโอกาสต่อยอดสู่ระดับโลก (Global) ผ่าน Global startup hub ที่จะช่วยส่งเสริมการขยายตลาดไปยังตลาดต่างประเทศ โดย NIA ได้ร่วมเป็นเครือข่ายพันธมิตรกับหลายประเทศ เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เยอรมนี และประเทศกลุ่มนอร์ดิก

Botnoi หนึ่งในสตาร์ทอัพไทยที่สถานทูตออสเตรียใช้ตอบคำถามที่พบบ่อย

นอกจากนี้ NIA ยังมีกลไกส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบ Corporate Co-Funding ร่วมกับ สมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน หรือ TVCA โดยจะสนับสนุนเงินลงทุนมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท และยังมีหน่วยงานที่ร่วมสนับสนุนในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ได้แก่ 

  • สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI โดยออกมาตรการส่งเสริมสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสูง ด้วยการให้เงินสนับสนุน 20 - 50 ล้านบาท แก่สตาร์ทอัพในระยะ Pre-Series A+ ขึ้นไป
  • กองทุนวันอินโนเวชั่นจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณภายใต้วงเงิน 1,000 ล้านบาท
  • บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล ที่จัดตั้ง Beacon Impact Fund โดยเน้นลงทุนด้าน ESG ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 1,200 ล้านบาท 

แนวทางผลักดันและเร่งการเติบโต Deep Tech

NIA

ในด้านการใช้เทคโนโลยีเพิ่มมูลค่าหรือสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ คุณปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA บอกเพิ่มว่า Deep Tech มีความสำคัญต่อประเทศไทยอย่างยิ่ง และตอนนี้ NIA ก็มีความร่วมมือกับ 10 มหาวิทยาลัยในการลงทุนด้าน Deep Tech ซึ่งยอมรับว่า มีโอกาสที่ธุรกิจจะไปต่อได้หรืออาจล้มหายตายจาก

"ตัวอย่าง Deep Tech เช่น กระดูกเทียมไทเทเนียมที่ขึ้นรูปจากเทคโนโลยี 3D หรืองานวิจัยอื่น ๆ ที่ใช้ IoT ช่วย อันที่จริงมีผู้ลงทุนหา Deep Tech เยอะขึ้น โดยเฉพาะด้านการแพทย์มากที่สุด เพราะ Deep Tech นำไปสู่การเป็นทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ทำให้มีมูลค่าสูงขึ้น 10-15 เท่า และมีโอกาสในการสเกลสูง แต่ต้องใช้เวลานานหน่อย" คุณปริวรรตกล่าว

"เราเน้นมากเพราะ Deep Tech อยู่ได้ยาว เติบโตได้สูง เลียนแบบยาก และจะเป็นนโยบายหลักของกระทรวง อว. ในการส่งเสริมสาย Deep Tech ด้วย" ดร.กริชผกาขยายความ 

ต่อด้วยการเผยพื้นที่เป้าหมายที่ NIA จะร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ กระตุ้นให้เกิดการส่งเสริมนวัตกรรม เทคโนโลยี และเพิ่มมูลค่าจากความคิดสร้างสรรค์ ดังที่ก่อเกิดเป็น Yothi Medical Innovation District (YMID) ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธีUBON ART FEST อีเวนต์นำร่องที่แสดงความเป็นนวัตกรรมและความครีเอทีฟของชาวอีสาน ซึ่งจัดขึ้นในจังหวัดอุบลราชธานี โดยล่าสุดจัดขึ้นเป็นปีที่ 3 

นอกจากนี้ NIA ยังมีเป้าหมายที่จะทำ Space และ Co-maker Space ร่วมกับหลายหน่วยงานในพื้นที่ต่าง ๆ อาทิ 

  • EGAT > จะจัดทำ Co-maker Space เพื่อทำให้เกิด Deep Tech รายใหม่ ๆ
  • โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลจุฬา > จะเปิดสเปซเพิ่มเพื่อส่งเสริม Deep Tech ด้านการแพทย์
  • True Digital Park > จะเปิดสเปซเพิ่มโดยเน้นที่ Cyber Tech 
  • ย่านจตุจักร บางซื่อ > จะเปิดสเปซเพิ่มโดยชูเรื่อง Creative และ Logistics 
  • พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม > อยู่ระหว่างการพูดคุยกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อจัดทำ 'ย่านนวัตกรรมสีเขียว' เป็นพื้นที่นำร่อง และจะให้สตาร์ทอัพมีพื้นที่ทดลองในลักษณะ Sandbox ซึ่งจะมีโอกาสสเกลโซลูชันหรือธุรกิจอีกมาก

"นอกจากเราอยากให้ต่างชาติมองไทยเป็นฮับลงทุนด้านสตาร์ทอัพมากขึ้น เราก็เตรียมพาสตาร์ทอัพไปต่างประเทศด้วย โดยมี BOI ให้เงินลงทุนแบบ Grant ซึ่งทาง BOI ก็อยากลงทุนใน Deep Tech ด้วย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ" ดร.กริชผกากล่าวเสริม

นอกเหนือจากปัจจัยและกลไกต่าง ๆ ที่ NIA ได้ริเริ่มและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ยังมี พระราชบัญญัติการพัฒนาและส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ พ.ร.บ. สตาร์ทอัพ ซึ่งจะมี 40 มาตรการสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทยมีความเข้มแข็ง และเอื้อต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยคาดการณ์ว่าจะได้ใช้งานภายในปีนี้

ดร.กริชผกาตอกย้ำในตอนท้ายว่า ประเทศไทยต้องเร่งพัฒนาด้านบุคลากรร่วมด้วย เพื่อรองรับการเติบโตของตลาด รวมถึงสร้างความมั่นใจด้านนโยบายในระยะยาว เพื่อดึงดูดการลงทุนและสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องไปกับความท้าทายในสังคมยุค AI และการพัฒนาทักษะใหม่ของแรงงาน รวมถึงการมุ่งดำเนินธุรกิจตามแนวคิด ESG ของระบบเศรษฐกิจทั่วโลก เพื่อให้เกิดความยั่งยืนครอบคลุมทุกมิติ

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

สิงคโปร์ ทำอย่างไรให้เป็นยักษ์ใหญ่ Fintech?เมื่อหัวใจของนวัตกรรมคือ ‘คน’

โลกยุคดิจิทัลพาให้หลายวงการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะ Fintech ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีสิงคโปร์เป็นผู้นำด้านการเงินแล้ว นับได้ว่าเป็นศูนย์กลาง Fintech ของภูมิภาค SEA ก็ว่าได...

Responsive image

สำรวจ 5 เทรนด์สำคัญจากงาน Accenture Life Trends 2025 ที่สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคไทย

สำรวจ 5 เทรนด์สำคัญจากงาน Accenture Life Trends 2025 ที่สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคไทยและทั่วโลก ตั้งแต่ความลังเลในโลกดิจิทัล, การเลี้ยงลูกยุคใหม่, เศรษฐศาสตร์แห่งความใจร้อน, ศักดิ์ศรี...

Responsive image

Qwen2.5-Max คืออะไร หมัดสองจาก AI จีนโดยยักษ์ใหญ่ Alibaba ที่เก่งกว่า Deepseek R1

Qwen2.5-Max โมเดล AI ใหม่จาก Alibaba ท้าชน DeepSeek R1 และ GPT-4o ด้วยประสิทธิภาพสูงกว่า ใช้พลังงานน้อยลง และอาจเปลี่ยนสมดุลอุตสาหกรรม AI ระดับโลก...