สรุปดีล Nvidia, Intel, OpenAI การรวมกำลังครั้งประวัติศาสตร์ เพื่อครองอนาคต AI และสมรภูมิชิป

ปรากฏการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่สั่นสะเทือนวงการเทคโนโลยีทั่วโลก เมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา เมื่อ Nvidia เจ้าแห่งชิป AI ประกาศเข้าลงทุนมูลค่ามหาศาลถึง 5 พันล้านดอลลาร์ใน Intel การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งเดือนหลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ และ SoftBank ได้เข้าอุ้มบริษัทยักษ์ใหญ่ที่กำลังเผชิญวิกฤตอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเมื่อวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา Nvidia ก็ได้ร่วมมือกับ OpenAI เพื่อสร้าง Data Center อีกครั้ง 

คำถามที่ทุกคนในวงการต่างสงสัยคือ เกิดอะไรขึ้น? ทำไมคู่แข่งตลอดกาลอย่าง Nvidia ต้องยื่นสายใยชีวิต (lifeline) ให้กับ Intel? และเหตุใดรัฐบาลสหการรัฐฯ และกลุ่มทุนระดับโลกจึงต้องทุ่มสุดตัวเพื่อกอบกู้บริษัทที่เคยเป็นตำนานแห่งซิลิคอนวัลเลย์แห่งนี้?

อะไรทำให้ Intel ยักษ์ใหญ่ต้องเผชิญวิกฤต?

Intel ที่เคยเป็นราชาแห่งวงการเซมิคอนดักเตอร์มายาวนาน กำลังเผชิญกับ "พายุที่สมบูรณ์แบบ" (Perfect Storm) ที่กัดกร่อนความเป็นผู้นำจนเกือบจะล่มสลาย โดยปัญหาใหญ่ที่สุดของ Intel คือความล่าช้าในการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีการผลิต จากโหนด 10nm ไปสู่ 7nm ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คู่แข่งอย่าง AMD ซึ่งใช้เทคโนโลยี 7nm ที่ล้ำสมัยของ TSMC สามารถเปิดตัวสถาปัตยกรรม Zen ที่สร้างมาตรฐานใหม่ทั้งด้านประสิทธิภาพและราคา

เมื่อ AMD และ Nvidia กลายเป็นผู้ชนะ ชิป Ryzen และ EPYC ของ AMD ตีตลาด CPU ทั้งในฝั่งผู้บริโภคและเซิร์ฟเวอร์จน Intel เสียส่วนแบ่งอย่างหนัก แต่ในสมรภูมิที่ร้อนแรงที่สุดอย่างตลาด AI นั้น Nvidia คือผู้ชนะที่ไม่มีใครเทียบได้ GPU H100 กลายเป็นมาตรฐานทองคำสำหรับ Data Center โดยรายได้ส่วนนี้ของ Nvidia พุ่งสูงถึง $26.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสล่าสุด ทิ้งห่างรายได้ DCAI ของ Intel ที่ทำได้เพียง $3.9 พันล้านดอลลาร์ ไปถึง 6 เท่า

สถานะทางการเงินของ Intel เข้าขั้นวิกฤต โดยไตรมาส 2 ปี 2025 บริษัทขาดทุนสุทธิถึง $2.9 พันล้านดอลลาร์ และมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) เหลือเพียง 27.5% (เทียบกับ TSMC ที่ 58.6%) ทำให้ Lip-Bu Tan ซีอีโอคนใหม่ต้องใช้ยาแรงภายใต้นโยบาย "Iron Discipline" เปลี่ยนโฟกัสจากการไล่ตามเทคโนโลยีโดยไม่สนต้นทุน มาสู่ "ประสิทธิภาพทางการเงิน" ซึ่งนำไปสู่การลดค่าใช้จ่ายครั้งมโหฬาร, ชะลอการสร้างโรงงานใหม่ในยุโรป และปลดพนักงานกว่า 15,000 ตำแหน่ง

เกมการเมืองและเทคโนโลยีจากการลงทุนของ Nvidia

การที่ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ตัดสินใจทุ่มเงิน 5 พันล้านดอลลาร์เข้าซื้อหุ้น Intel ไม่ใช่ดีลการกุศล แต่เป็นเกมกลยุทธ์ที่มีไหวพริบอย่างมาก เนื่องจาก Nvidia คือเจ้าแห่ง GPU แต่ยังต้องพึ่งพา CPU จากค่ายอื่น ข้อตกลงนี้คือการสร้าง ‘การหลอมรวมแพลตฟอร์ม’ ครั้งยิ่งใหญ่ โดย Intel จะผลิตชิป CPU แบบ Custom สำหรับแพลตฟอร์ม AI ของ Nvidia ในฝั่ง Data Center และในฝั่ง PC เราอาจได้เห็นชิปที่รวมเอา Nvidia RTX GPU chiplets เข้าไว้ด้วยกัน

Jensen Huang กล่าวว่า ‘การหลอมรวมสองแพลตฟอร์มระดับโลกนี้จะวางรากฐานสำหรับยุคถัดไปของวงการคอมพิวเตอร์’ นี่คือการเดิมพันที่อาจทำให้ Intel ได้กลับเข้าสู่สังเวียน AI อีกครั้ง

ยิ่งไปกว่านั้น ดีลนี้ยังเป็นการเดินเกมการเมืองที่ชาญฉลาด ท่ามกลางนโยบาย ‘Invest in America’ ของรัฐบาลทรัมป์ การแสดงจุดยืนสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศอาจช่วยให้ Nvidia ได้รับความยืดหยุ่นในประเด็นอ่อนไหวอย่างมาตรการภาษีหรือข้อจำกัดการส่งออกชิปไปยังประเทศจีน

ทำไมรัฐบาลสหรัฐฯ และ SoftBank ต้องลงสนามครั้งนี้?

ก่อนดีลของ Nvidia รัฐบาลสหรัฐฯ และ SoftBank ได้เข้ามาพยุง Intel ไว้ก่อนแล้ว แต่นี่ไม่ใช่แค่การช่วยเหลือ แต่คือการวางหมากในเกมภูมิรัฐศาสตร์

รัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามามีส่วนเพราะ Intel คือ "ตัวแทน" ความมั่นคงด้านเซมิคอนดักเตอร์ในยุคที่ 92% ของชิปขั้นสูงผลิตในเอเชีย (ไต้หวันและเกาหลีใต้) รัฐบาลสหรัฐฯ มองว่า Intel คือ "เสาหลัก" ที่จะลดความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน การสนับสนุนจึงมาในทุกรูปแบบ ตั้งแต่

  • ถือหุ้นโดยตรง: เข้าถือหุ้น 9.9% ในเดือนสิงหาคม 2025 เป็นเหมือนการค้ำประกันว่ารัฐบาลจะไม่ปล่อยให้ Intel ล้ม
  • เงินอุดหนุน: มอบเงินทุนสูงสุด $7.86 พันล้านดอลลาร์ ผ่านกฎหมาย CHIPS Act
  • สัญญาจ้างผลิต: มอบสัญญามูลค่า $3 พันล้านดอลลาร์ สำหรับโครงการ Secure Enclave เพื่อผลิตชิปสำหรับภาครัฐและการป้องกันประเทศโดยเฉพาะ
  • สิทธิประโยชน์ทางภาษี: มอบเครดิตภาษี 25% สำหรับการลงทุนในสหรัฐฯการสนับสนุนทั้งหมดนี้ เปลี่ยนสถานะของ Intel ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงแห่งชาติไปโดยปริยาย

SoftBank เดิมพัน Intel ในการปฏิวัติ AI บนแผ่นดินอเมริกาMasayoshi Son และ SoftBank Group เข้าลงทุน $2 พันล้านดอลลาร์ โดยให้เหตุผลว่านี่คือการลงทุนในวิสัยทัศน์ระยะยาวที่เชื่อว่าการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงจะย้ายฐานมายังสหรัฐอเมริกา และสอดคล้องกับเป้าหมายของ SoftBank ที่จะขับเคลื่อน "การปฏิวัติ AI"

เดิมพันครั้งประวัติศาสตร์ กับอนาคตที่ต้องพิสูจน์

วิกฤตของ Intel คือภาพสะท้อนความโหดร้ายของการแข่งขันในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การเข้ามาของ Nvidia, SoftBank และรัฐบาลสหรัฐฯ คือโอกาสครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท ในขณะที่ Intel เองกำลังยกเครื่องครั้งใหญ่ภายใต้ CEO คนใหม่

เป้าหมายต่อไปของ Intel คือการกลับมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการผลิตด้วยกระบวนการ Intel 18A ในปี 2025 แต่ภายใต้ระเบียบวินัยทางการเงินที่เข้มงวด บริษัทประกาศชัดเจนว่า 'จะไม่มีเช็คเปล่าอีกต่อไป (There will be no more blank checks.)' การลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงในอนาคตจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีคำสั่งซื้อจากลูกค้าภายนอกที่ชัดเจนเท่านั้น

เม็ดเงินที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ใช่แค่การอัดฉีดทางการเงิน แต่เป็นการส่งสัญญาณว่า Intel ได้ถูกวางตัวให้เป็นหัวใจของห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ความสำเร็จจากนี้ไปขึ้นอยู่กับความสามารถของ Intel ที่จะบริหารจัดการและนำวิสัยทัศน์เหล่านี้ไปสู่การปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริงและทำกำไรได้ ท่ามกลางสายตาของคนทั้งโลกที่จับจ้องว่าเดิมพันครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่

ดีลแห่งศตวรรษ 'Nvidia และ OpenAI' มาถึงแล้ว

การตอกย้ำความเป็นผู้นำของ Nvidia ได้กลับมาอีกครั้ง เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2025 เพียงไม่กี่วันหลังประกาศดีลกับ Intel, Nvidia และ OpenAI ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งประวัติศาสตร์เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI แห่งอนาคต โดยมีเป้าหมายในการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ AI ที่ใช้ระบบของ Nvidia รวมกันเป็นขนาดมหึมาถึง 10 กิกะวัตต์ เพื่อใช้ฝึกฝนและรันโมเดล AI ยุคถัดไปบนเส้นทางสู่การสร้าง ‘Superintelligence’

เพื่อสนับสนุนโครงการนี้ Nvidia ตั้งใจที่จะลงทุนใน OpenAI สูงสุดถึง 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะทยอยลงทุนเมื่อดาต้าเซ็นเตอร์แต่ละเฟสถูกสร้างขึ้น โดยเฟสแรกขนาด 1 กิกะวัตต์ มีกำหนดจะเริ่มใช้งานในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 บนแพลตฟอร์ม Vera Rubin ของ Nvidia

Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวว่า ‘โครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผลจะเป็นรากฐานของเศรษฐกิจในอนาคต’ ในขณะที่ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ระบุว่า ‘การลงทุนและโครงสร้างพื้นฐานนี้ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งต่อไป การปรับใช้ 10 กิกะวัตต์เพื่อขับเคลื่อนยุคถัดไปของปัญญา’

ดีลนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานอันไร้ขีดจำกัดของ Nvidia แต่ยังทำให้เห็นความแตกต่างอย่างสุดขั้วระหว่างการลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ใน Intel ที่เปรียบเสมือนการเดิมพันเชิงกลยุทธ์เพื่อรักษาเสถียรภาพ กับการลงทุนที่อาจสูงถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ใน OpenAI ซึ่งเป็นการเดิมพันเพื่อสร้างอนาคตของมวลมนุษยชาติ คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ 'Intel จะรอดหรือไม่?' อีกต่อไป แต่คือ 'ใครจะสามารถท้าทายอาณาจักร AI ที่กำลังก่อตัวขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง Nvidia และ OpenAI ได้?' โลกกำลังจับตามองการเดิมพันครั้งประวัติศาสตร์นี้อย่างใกล้ชิด

ที่มา: The Guardian, Intel, OpenAI

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

รวมคลื่น Layoff 2025 บิ๊กเทคปลดคนครั้งใหญ่ 300 กว่าวันที่ผ่านมาเจออะไรบ้าง ?

อัปเดตวิกฤต Layoff ปี 2025 ในวงการเทค Intel ปลดกว่า 23,000 คน ตามด้วย Microsoft และ Amazon วิเคราะห์ภาพรวมการลดคนครั้งใหญ่และแนวโน้มตลาดแรงงานยุค AI...

Responsive image

สรุป 17 ดีลใหญ่ AI ที่เกิดขึ้นในปี 2025

สรุปครบ 17 ดีล AI ยักษ์ใหญ่ปี 2025 พร้อมเจาะลึกปม Circular Deals หรือการหมุนเงินลงทุนเป็นวงกลม สัญญาณเตือนฟองสบู่ที่นักลงทุนต้องระวัง...

Responsive image

ทิศทาง Agoda ในยุค AI-First จาก CEO เตรียมปักธงปั้นกรุงเทพฯ เป็น ‘Silicon Valley แห่งเอเชีย’ พร้อมส่องเทรนด์ท่องเที่ยวปี 2026

เจาะลึกวิสัยทัศน์ Agoda 2025 ปั้นกรุงเทพฯ สู่ Silicon Valley แห่งเอเชีย พร้อมเปิดตัวกลยุทธ์ AI-First และ Autonomous Agent ผู้ช่วยอัจฉริยะที่คิดแทนคุณได้ เผยข้อมูล Insight เที่ยวไทย...