ธนาคารกลางจีน (People’s Bank of China: PBOC) ได้เผยแพร่รายงานความคืบหน้าของ White Paper สกุลเงินหยวนดิจิทัล หรือ Digital Currency Electronic Payment (DCEP) ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2014 โดยใน White Paper ธนาคารกลางจีนได้ระบุถึงภูมิหลังของสกุลเงิน แผนงานด้านเทคโนโลยี และวัตถุประสงค์ในการพัฒนา โดยบทความนี้ Techsauce จะสรุปถึงรายละเอียด White Paper ว่านิยามหยวนดิจิทัลสำหรับรัฐบาลจีนคืออะไร มีกลไกทำงานอย่างไร และขณะนี้หยวนดิจิทัลพร้อมใช้งานแล้วหรือไม่
ใน White Paper ได้เผยแพร่ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจจีนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาว่าได้เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งได้แรงสนับสนุนจากนวัตกรรมเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ผนวกกับการมาของโควิด-19 ที่ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนส่วนใหญ่ให้หันมาใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน มีอุตสาหกรรมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากก็คือ E-Commerce คนเริ่มหันมาจับจ่ายซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาควบคู่กันกับธุรกิจกลุ่มนี้ย่อมไม่พ้นกับเทคโนโลยีการเงินรูปแบบใหม่นั่นก็คือ Digital Payment เป็นการโอน ถอน จ่าย ทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชัน ให้การซื้อขายผ่านไปอย่างราบรื่นและเกิดความสะดวกสบาย ช่วยให้คนส่วนใหญ่ในประเทศเข้าถึงธุรกรรมการเงินได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องเข้าสถาบันการเงินเพื่อทำธุรกรรมอีกต่อไป
ในวงการเทคโนโลยีการเงินไม่นานมานี้ ก็ได้มีนวัตกรรมใหม่ที่เรียกว่า เหรียญสกุลเงินดิจิทัล หรือ Cryptocurrency เป็นสกุลเงินทางเลือกเสริมที่ให้ความปลอดภัยสูง ขับเคลื่อนด้วยระบบบล็อกเชนที่มีศักยภาพการประมวลผลแบบกระจายศูนย์ ให้ความโปร่งใสปราศจากคนกลางหรือหน่วยงานกำกับกำหนดนโยบายควบคุม ทำให้คนมองเห็นโอกาสที่จะใช้เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนสินค้า หันมาเก็งกำไรและลงทุนกันมากขึ้น อย่างไรก็ตามในเอกสารระบุถึงข้อจำกัด Cryptocurrency ว่ายังคงขาดมูลค่าที่แท้จริง ราคาผันผวนสูง และกระบวนการขุดเหรียญใช้ทรัพยากรธรรมชาตจิมหาศาล ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระเบียบโลกการเงินและความมั่นคงของสังคมส่วนรวม เช่น การนำเงินสกุลดิจิทัลเป็นเครื่องมือทำธุรกรรมผิดกฎหมาย
ด้วย pain-point ที่เกิดขึ้นจาก Cryptocurrency จึงทำให้รัฐบาลหลายประเทศเริ่มมีความคิดริเริ่มนำจุดแข็งของ Digital Payment กับเทคโนโลยีเหรียญดิจิทัล มาศึกษาต่อยอดออกมาเป็น Central Bank Digital Currency (CBDC) สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง ซึ่งได้นำคุณสมบัติการขับเคลื่อนด้วยบล็อกเชนมาเพิ่มประสิทธิภาพของระบบชำระเงิน และยังคงอ้างอิงกับสกุลเงินหลักของประเทศเพื่อนำมาใช้ชำระสินค้าและบริการได้เหมือนกับเงินสด ซึ่งจีนก็เป็นประเทศหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา CBDC มาตั้งแต่ปี 2014 จนออกมาเป็นโครงการหยวนดิจิทัลที่มีชื่อเรียกอีกรูปแบบหนึ่งว่า “E-CNY”
หยวนดิจิทัล (E-CNY) หรือชื่อทางการคือ Digital Currency Electronic Payment (DCEP) เป็นเงินดิจิทัลสกุลอ้างอิงหยวนเหรินเหมินปี้ (RMB) ที่ออกโดยธนาคารกลางจีน (People’s Bank of China: PBOC) และแจกจ่ายต่อไปยังธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงิน
รัฐบาลจีนระบุถึงหยวนดิจิทัลว่าเป็นเครื่องมือการชำระเงินดิจิทัลไฮบริดที่อิงตามมูลค่าเงินสดจริง มีคุณสมบัติที่เสมือนเงินสดสกุลเงินหยวนทุกประการ ก็คือ ใช้เป็นหน่วยวัดทางบัญชี (unit of account) สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน และเก็บรักษามูลค่าได้ (Store of Value) และชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (legal tender) กล่าวได้ว่า หยวนดิจิทัลทำได้ทุกอย่างเหมือนธนบัตรและเหรียญทั่วไป เพียงแต่ทุกอย่างเกิดขึ้นในโลกออนไลน์
ทั้งนี้ ใน White Paper ระบุถึงจุดประสงค์ของหยวนดิจิทัลว่าเป็นตัวเลือกเสริมในการทำธุรกรรมการเงินในโลกออนไลน์ สนับสนุนการแข่งขันระหว่างธุรกิจค้าปลีก และรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน และมีแนวโน้มจะขยับขยายการใช้หยวนดิจิทัลข้ามพรมแดนอีกด้วย
ในเอกสาร White Paper ทางธนาคารกลางจีนได้กำหนดคุณสมบัติการทำงานของหยวนดิจิทัลไว้ 7 ประการ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ที่ธนาคารกลางจีนได้เผยว่าจะมีการใช้ Smart Contract หรือสัญญาอัจฉริยะที่จะช่วยติดตามกระบวนการใช้ธุรกรรมการเงินตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางของหยวนดิจิทัล โดย Smart Contract มีหน้าที่กำหนดการตั้งค่าการชำระเงินแบบอัตโนมัติระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ตามเงื่อนไขและกฎที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้าได้ตามที่ตกลงกันทั้งสองฝ่าย และไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของสกุลเงินหยวนในโลกจริง
ตั้งแต่ปี 2014 ถึง ปี 2016 ธนาคารกลางจีนได้ก่อตั้งกลุ่มวิจัยสกุลเงินดิจิทัลชื่อว่า Digital Currency Institute (DCI) ขึ้นพื่อทำการศึกษาเชิงลึกตั้งแต่กรอบการดำเนินธุรกรรม การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ สภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการใช้งาน และแนวทางการนำสกุลเงินดิจิทัล CBDC มาปฏิบัติในความเป็นจริง
โดยธนาคารกลางจีนก็ได้ความร่วมมือจากธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และบริษัทให้บริการอินเทอร์เน็ตที่มีการพัฒนานวัตกรรมอย่างแข็งแกร่งในระหว่างการวิจัยและพัฒนาหยวนดิจิทัลมาตลอด จนในที่สุด ปี 2019 จีนได้นำร่องทดลองใช้หยวนดิจิทัลเป็นครั้งแรกใน 4 เมือง คือ เสินเจิ้น ซูโจว เฉิงตู สงอัน และพื้นที่ที่จะรองรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ปักกิ่งปี 2022
กระทั่งในปัจจุบัน ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2021 สกุลเงินหยวนดิจิทัลได้ถูกนำไปทดสอบใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ กว่า 1.32 ล้านครั้ง ซึ่งรัฐบาลท้องถิ่นมีส่วนส่งเสริมการใช้ดิจิทัลหยวน บางเมืองได้แจกจ่ายสกุลเงินดิจิทัลให้กับประชาชนต้อนรับวันตรุษจีน ซึ่งการใช้งานได้ครอบคลุมกว้างขึ้น ตั้งแต่สาธารณูปโภค บริการขนส่ง การช็อปปิ้ง และบริการอื่น ๆ ของภาครัฐ ซึ่งผลจากการทดลองพบว่า มีการเปิดบัญชี digital wallet เพื่อรองรับสกุลหยวนดิจิทัลส่วนตัวกว่า 20.87 ล้านบัญชี และ digital wallet สำหรับองค์กรมากกว่า 3.51 ล้านบัญชี มูลค่าธุรกรรมจากหยวนดิจิทัลอยู่ที่ 34,500 ล้านหยวน ระหว่างที่ประชาชนได้ทดลองใช้งาน ทางทีมวิจัยก็ยังคงเก็บรักษาข้อมูลและวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยี smart contracts หรือการเข้าถึงบริการอย่างสม่ำเสมอ
ธนาคารจีนยังคงยืนยันว่าจะพัฒนาโครงการนำร่องหยวนดิจิทัลต่อไป และจะอยู่ในส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 อีกด้วย ซึ่งทางทีมงานวิจัยจะเติมเต็มระบบนิเวศของหยวนดิจิทัล และการปรับใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ ให้สอดรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ พร้อมไปกับยกระดับความปลอดภัยผ่านการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมดิจิทัล เช่น Law on the People’s Bank of China และพัฒนาระบบให้เสถียร ป้องกันการโจมตีจากภายนอก เช่น การรักษาความปลอดภัยของรหัสผ่านและข้อมูลทางการเงิน
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด