Reality Check (ตอนที่ 3) กฎ 10/20/30 ศิลปะการนำเสนองานที่ Startup ควรรู้ | Techsauce

Reality Check (ตอนที่ 3) กฎ 10/20/30 ศิลปะการนำเสนองานที่ Startup ควรรู้

 

man_with_microphone_giving_presentation_0521-1005-1515-3155_SMU1

ภาพจาก : abouttopics.com

แม้ไอเดียของคุณจะบรรเจิดแค่ไหน ผลิตภัณฑ์จะดี แผนธุรกิจน่าสนใจแต่ถ้าขาดซึ่งการนำเสนอที่ดีให้นายทุนเข้าใจได้ ประตูบานแรกอาจต้องปิดลง จากประสบการณ์ของ Guy Kawasaki ที่เป็นนายทุนคนหนึ่ง เค้ามักได้ยิน Startup หลายรายมานำเสนองานพร้อมสไลด์เป็นสิบๆ หน้าและพูดเกี่ยวกับ กำลังรอเรื่องลิขสิทธิ์, เป็นผู้เริ่มลงมือก่อนได้เปรียบกว่า, เพียงแค่ได้คนจีน 1% ซื้อสินค้าเราก็เพียงพอแล้ว เนื้อหาแนวเชิญชวนเหล่านี้ทำให้เค้าหมดความสนใจไปในทันที

Guy ได้แนะนำวิธีการนำเสนองานด้วยกฎ 10/20/30 ใน Reality Check ซึ่งหลายๆ ท่านอาจเคยทราบมาบ้าง แต่ถ้าใครยังไม่ทราบลองมาติดตามกันดูเชื่อว่ามีประโยชน์มากๆ ไม่ใช่แค่ Startup ที่ต้องการระดมทุนเท่านั้น แต่จะมีประโยชน์กับงานด้านการขาย การหา Partner อีกด้วย ซึ่งกฎนั้นก็คือ "การนำเสนอด้วยสไลด์ 10 หน้า ใช้เวลาเสนอไม่เกิน 20 นาที และขนาดตัวอักษรไม่เล็กกว่า 30 points" นั่นเอง

สไลด์ 10 หน้า การนำเสนอเชิญชวนนายทุนด้วยสไลด์ 10 หน้าเป็นจำนวนที่เหมาะสม เพราะมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจเกิน 10 คอนเซ็ปในการประชุมแต่ละครั้ง โดยเฉพาะนายทุนทั้งหลายมักมีสมาธิน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำไป เนื้อหาในแผ่นสไลด์เหล่านี้ก็คือสิ่งที่คุณได้สรุปไว้แล้วใน Executive Summary และเพิ่มข้อมูลที่ใช้ติดต่อคุณเข้าไป

20 นาที สไลด์ 10 หน้าต้องให้เหมาะเจาะกับเวลานำเสนอราว 20 นาที?? แน่นอนคุณได้ขอเวลาไว้ราวหนึ่งชั่วโมง แต่ในความเป็นจริงคุณควรนำเสนอ 20 นาทีแล้วยังมีอีกราว 40 นาทีสำหรับการซักถามและปรึกษาหารือต่อ

บรรทัดแรกที่เปิดตัวเป็นส่วนชี้เป็นชี้ตายในการนำเสนอเลยทีเดียวเชียวค่ะ ลองมาดูตัวอย่างกันว่าไม่ควรกล่าวอย่างไรและเหตุผลว่าทำไม? ดังต่อไปนี้

คุณบอกว่า ผมเป็นยอดนักคิด นายทุนจะคิดว่า เพียงแค่คิด แต่ยังไม่มี Business Model และลงมือได้จริงหรือเปล่า?

คุณบอกว่า ผมรู้จักบริษัทคุณไม่มากเท่าไหร่นักแต่คิดว่าผมควรติดต่อคุณ นายทุนจะคิดว่า ขี้เกียจมาก (แม้กระทั่งจะหาข้อมูล)

คุณบอกว่า ผมชอบคิดหาวิธีใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหา นายทุนจะคิดว่า นี่เป็นการแสดงผลงานทางวิทยาศาสตร์เหรอ? -"-

คุณบอกว่า ผมมีไอเดียบรรเจิดมากมายแต่ลำบากที่จะเลือกอันใดอันหนึ่งมาพัฒนาต่อ จึงขอเล่าสักสองถึงสามไอเดีย อันนี้ก็ไม่ควรนะคะ นักลงทุนต้องการความชัดเจนและอาจไม่ได้ให้โอกาสมากขนาดนั้น

คุณบอกว่า ผมต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจ เกริ่นลักษณะนี้ก็ไม่จำเป็น ไม่ใช่รายการนักล่าฝัน ^^

คุณบอกว่า ผมมั่นใจว่าคุณรู้ดีว่าความสำคัญของ..... Web 2.0, Open Source และอื่นๆ ไม่ต้องเน้นย้ำขนาดนั้นค่ะ ทฤษฎีเยอะก็ไม่ดี เอาให้เห็นภาพและนายทุนจะได้อะไรดีกว่านะคะ

คุณบอกว่า ถ้าคุณเซ็นสัญญาไม่เปิดเผยข้อมูล แล้วผมก็จะบอกไอเดียของผม นายทุนจะคิดว่า คุณไม่รู้ได้อย่างไรว่านายทุน VC เขาไม่เซ็นสัญญาประเภทนั้นกัน (อ่านเพิ่มเติม Startup 101 ตอน 1)

คุณบอกว่า เป้าหมายของผมคือการสร้างบริษัทระดับโลก แต่เขาจะคิดว่า คุณขายและส่งมอบสินค้าชุดแรกให้ได้เสียก่อนที่จะมาพูดอะไรในระดับนั้นไหม

ปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้... และผมแก้มันอย่างไร................. เป็นสิ่งที่คุณควรพูดตอนเริ่มต้นค่ะ มันง่ายเช่นนั้นจริงๆ เป้าหมายหลักของคุณคือเพียงทำให้นายทุนสนใจและคิดเรื่องความเป็นไปได้ของบริษัทของคุณและขนาดของตลาดของคุณเท่านั้น ถ้าเขาไม่รู้ว่าบริษัทคุณทำอะไร แล้วมีอะไรสามารถให้เขาสนใจเพื่อนำไปสู่เป้าหมายได้ประตูของโอกาสบานแรกอาจจะปิดโดยไว ดังนั้นลดการแสดงออกในสิ่งที่ดูไม่มีประโยชน์ตั้งแต่แรกและอธิบายว่าบริษัทคุณทำอะไรบ้าง

ตัวอักษรขนาด 30 points หลายครั้งที่เจอการใช้ตัวอักษรขนาด 12 points เพื่ออัดข้อความให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้บนแผ่นสไลด์ แล้วก็อ่านให้ฟังด้วยเสียงดังในการนำเสนอ แต่โชคร้ายเมื่อนายทุนรู้ว่าเจ้าของธุรกิจจะอ่านให้ฟังพวกนายทุนก็จะรีบอ่านล่วงหน้าก่อน ผลลัพธ์ก็คือทั้งเจ้าของธุรกิจและนายทุนไม่ได้ร่วมฟังการนำเสนอครั้งนี้อย่างสอดคล้องกันเลย

เหตุผลที่คนใช้ตัวอักษรขนาดเล็กมีอยู่สองสาเหตุคือ หนึ่งพวกเขาไม่รู้ข้อมูลอย่างดีพอ สองเขาคิดว่าข้อความยิ่งมากยิ่งจูงใจ ซึ่งไม่ควรทำอย่างยิ่งค่ะ คุณควรบังคับตนเองให้ใช้ตัวอักษรขนาดที่ไม่เล็กกว่า 30 points จะทำให้การนำเสนอของคุณดีขึ้น เพราะมันบังคับให้คุณต้องทำการบ้านค้นหา และเข้าใจจุดเด่นที่สุดเพื่อให้กระชับที่สุด ไว้บนเนื้อที่จำกัดแต่ขยายความด้วยคำอธิบายของคุณแทน (ภาพการนำเสนองานระดับเทพของ Steve Jobs ลอยมา :D)

สุดท้ายอ่านมาถึงตรงนี้คุณอาจจะเป็น Startup ที่กำลังจะนำเสนองานแก่นายทุนหรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับงานขาย หรือการหา Partner กฎนี้ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ด้วยเช่นเดียวกัน อย่าลืมนะคะกฎ 10/20/30 แล้วพบกันใหม่กับ ตอนที่ 4 ค่ะ

บทความนี้ถูกเผยแพร่ครั้งแรกที่ thumbsup.in.th

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

AI จะเป็น ‘ผู้กอบกู้’ หรือ ‘ผู้ทำลาย’ การ์ตูนญี่ปุ่น

เมื่อประตูสู่วัฒนธรรมและเสาหลักทางเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นอย่าง อนิเมะและมังงะกำลังถูก AI แทรกแซง อนาคตของวงการนี้จะเป็นยังไง ?...

Responsive image

เจาะลึกเทรนด์ Spatial Computing จุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับองค์กรยุคใหม่

Spatial Computing คือเทคโนโลยีที่ผสานโลกเสมือนจริงและโลกจริงเข้าด้วยกัน ซึ่งมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานขององค์กรในยุคดิจิทัล ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการฝึกอบรมและ...

Responsive image

ถอดกลยุทธ์ ‘ttb spark academy’ ปั้น Intern เพิ่มคนสายเทคและดาต้า Co-create การศึกษาคู่การทำงานจริง

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb) เห็น Pain Point ว่าประเทศไทยขาดกำลังคนด้านดิจิทัล (Digital Workforce) และธนาคารก็ต้องการคนเก่ง Tech & Data จึงจัดตั้ง ‘ttb spark academy’ เพื่อปั้น ...